เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com
หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทาง Ford ได้เผยโฉมให้เห็นกับ ”Ford Focus ST” รุ่นปี 2013 กันแบบเต็ม ๆ แล้ว มาในปีนี้ Ford ก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มตัว เพราะ ณ ขณะนี้ Ford Focus ST รุ่นปี 2013 พร้อมแล้วกับการเตรียมออกจำหน่ายใน 40 ประเทศทั่วโลก
สำหรับ Ford Focus ST 2013 นี้ จะมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อยคือ ST1, ST2 และ ST3 ทั้งแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูและแบบเอสเตทที่จัดเต็มกับความสปอร์ตแบบไม่มียั้ง เริ่มตั้งแต่ส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ EcoBoost 2.0 ลิตร Ti-VCT ทำกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า กับอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เวลา 6.5 วินาที ซึ่งส่งกำลังผ่านเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับเซ็ทขึ้นมาใหม่
ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะแรงน่าดู แต่เรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Ford เอง ก็ได้จัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราทดพวงมาลัยขึ้นใหม่ เพื่อลดความเร็วเมื่อขับในทางตรง ตามด้วยระบบ ”Torque Vectoring Control” ที่ช่วยให้การเบรคของล้อทำได้ดีมากขึ้น และระบบควบคุมสเถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่มีให้เลือกใช้ 3 แบบ ทั้งการใช้งานตามปกติเพื่อเน้นการยึดเกาะถนน การใช้งานเฉพาะ ESP สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือจะเลือกปิดระบบนี้ไปเลยก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะใช้สมรรถนะแบบไม่ยั้ง
มาดูในส่วนของการดีไซน์บ้าง อย่างที่บอกไปว่า Ford Focus ST 2013 เน้นในเรื่องของความเป็นลุคสปอร์ต ฉะนั้น ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ก็จะมีดีไซน์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยภายนอกนั้น ก็จะมีดีไซน์ตามแบบฉบับของ Ford แต่แฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่ส่วนกระจังหน้าที่เป็นแบบรังผึ้ง ไปยันท้ายรถที่ใช้ท่อไอเสียคู่ที่รับกันกับดีไซน์ทั้งหมด และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว
ด้านภายใน สะดุดตาทันทีกับเบาะนั่งของ Recaro ที่กระชากอารมณ์ของความเป็นรถสปอร์ตแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบที่ได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ ตามด้วยหน้าจอบริเวณคอนโซลที่ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และชุดเครื่องเสียงของ Sony กับลำโพงกว่า 10 ขุดที่มีอยู่กระจายทั่วห้องโดยสาร
ตามรายงานระบุว่า Ford จะส่ง Focus ST 2013 ออกจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดว่าทาง Ford ตั้งไว้ที่ค่าตัวเท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของกูรูรถยนต์หลาย ๆ คนมองว่า น่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 750,000 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่า นี่เป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีของแต่ละประเทศแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น