บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน


ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับรถยนต์ "ฮอนด้า แจ๊ส ไฮบริด" (Honda Jazz Hybrid) หลังจากที่ปล่อยให้คนที่กำลังมองหารถที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของการประหยัดน้ำมันต้องรอคอยมานาน โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่ทันสมัยเข้ากับชีวิตของคนยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งผลิตออกมาเพียงรุ่นเดียว ในราคาเปิดตัวที่ 768,000 บาท

Honda Jazz Hybrid

          โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว "Jazz Hybrid" IMA รุ่นแรกของกลุ่มซับคอมแพคท์ในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว โดดเด่นอย่างมีสไตล์ ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ สีเงินอลาบาสเตอร์ สีเขียวเฟรชไลม์ และสีฟ้าเซรูเลียน
Honda Jazz Hybrid


          สำหรับ Honda Jazz Hybrid รุ่นใหม่นี้ นับว่าเป็นรถยนต์ซิตี้คาร์ไฮบริดรุ่นแรกของโลก และเป็นเครื่องยนต์เบนซินไฟฟ้าที่เล็กที่สุดของ Honda โดยมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร i-vtec และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ และขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ CVT สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 12.6 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง

          ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 4.5 ลิตร/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐานยุโรป เช่นเดียวกับตัวเลขของรุ่น Insight แต่ Jazz Hybrid มีอัตราการปล่อยมลพิษ 104 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งสูงกว่าของ Insight เพียงเล็กน้อย

Honda Jazz Hybrid

          นอกจากเรื่องของเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ให้ Jazz Hybrid ต่างจาก Honda Jazz รุ่นอื่น ๆ อยู่ที่การปรับแต่งเรื่องของดีไซน์ตัวรถที่เพิ่มความทันสมัยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าโครเมี่ยม ไฟท้าย และกันชนหน้า-หลัง เป็นต้น


         
          ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่าราคาเปิดตัวของ Jazz Hybrid รุ่นนี้ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 768,000 บาท ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่กำลังมองหารถใหม่อยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คงจะมีการประกาศราคาที่แน่นอนออกมาให้ทราบกันในเร็ว ๆ นี้ ยังไงก็ลองติดตามข่าวกันต่อไปนะครับ

ข่าวจาก kapook.com คลิปจาก youtube

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV รุ่นใหม่ล่าสุด


  แม้จะเปิดตัวขายในญี่ปุ่นไปแล้วสำหรับ “ ฟอเรสเตอร์ “ รุ่นใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 และขณะนี้กำลังยืนอวดโฉมอยู่ที่งาน “แอลเอ มอเตอร์โชว์ 2012” สำหรับตลาดในเอเชียซูบารุเลือกประเทศไต้หวัน (วันที่ 5 ธ.ค.) เปิดตัว ฟอร์เรสเตอร์ รุ่นใหม่


     
       ฟอเรสเตอร์ ใหม่ เปลี่ยนบุคลิกมาเป็น SUV อย่างเต็มตัว พร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบและสไตล์ของตัวรถมาเป็นแบบยกสูง และเน้นความบึกบึน แต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของสมรรถนะในการขับขี่ โดยรุ่นใหม่มากับตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร



       รุ่นนี้มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่นธรรมดา มีกำลังสูงสุด 148 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที และรุ่นเทอร์โบที่ใช้ระบบ Di หรือ Direct Injection และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เข้าไป ซึ่งรีดกำลังออกมาได้ 280 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที เลือกส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ที่ซูบารุเรียกว่า Lineartronic หรือจะเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะก็ได้
     
       ส่วนระบบขับเคลื่อนมีแบบเดียวเป็นแบบ AWD หรือ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมโหมดที่เรียกว่า X-Mode ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับบนถนนที่ลื่น หรือบนเส้นทางออฟโรดที่วิบากในระดับหนึ่ง ซึ่งในระบบนี้จะมีการติดตั้งระบบ HDC หรือ Hill Descent Control ทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำมาก จนเกือบจะเป็น Walking Speed ในการลงทางลาดชันมากๆ เพื่อความปลอดภัย



       ฟอเรสเตอร์เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวในปี 1997 และได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยอิงพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์อย่างอิมเพรซา แต่สามารถตอบสนองความอเนกประสงค์ด้วยตัวถังในสไตล์กึ่งๆ แวกอน และไม่ได้ยกสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ SUV ที่อยู่ในตลาด ซึ่งทางซูบารุใช้แนวทางนี้ในการทำตลาดให้กับ 2 รุ่นแรกจนได้รับการตอบรับที่ดี
     
       แม้รูปลักษณ์และแนวคิดของตัวรถจะถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 แต่ทว่าซูบารุก็ยังคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ร้อนแรงเอาไว้ให้กับฟอเรสเตอร์ ในรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มากับเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกใหม่ที่มีกำลังสูงถึง 280 แรงม้าเลยทีเดียว
     
       ค่าตัวของฟอเรสเตอร์ใหม่ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,089,500-2,936,800 เยน หรือราวๆ 850,000-1,100,000 บาท ส่วนบ้านเรามีขายแน่ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปีหน้าราคารุ่นเริ่มต้นประมาณ 1.9 ล้านบาท

บทความจาก ผู้จัดการ คลิปจาก youtube

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก


รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก



อันดับ 10 Jarguar XJ

 ราคาจิ๊บๆ สำหรับเศรษฐี เริ่มต้นที่ตัวเลข 12.2 ล้านบาท สำหรับ ยานยนต์สัญชาติอังกฤษคันนี้ ที่พกความหรูหรามาแบบเต็มคราบ กับความงามที่ยากจะหาใครเทียบเคียง แม้จะงานขนาดนี้แต่ก็แรงใช่เล่นกับ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ให้กำลัง 385 แรงม้า จับคู่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

 อันดับที่ 9 Lexus LS 460

 ขยับขึ้นมาเป็นค่ายพรีเมี่ยมแบรนด์จากรถยนต์คนไทยชอบ นำเสนอรถยนต์ Lexus 460 มาให้เราได้สัมผัสกัน ในเส้นสายความปราณีตที่หาที่สุดไม่ได้ไฟหน้ามาพร้อมไฟแบบ LED 8 ดวง ใต้ฝากระโปรง เน้นหนักในเรื่องของความแรงแบบเปี่ยมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ V8 4.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า เร่ง 0-100 ก.ม./ ช.ม. ทันใจเพียง 5.7 วินาที ส่วนเรื่องความหรูหายห่วงเพราะนี่เป็นรุ่นใหญ่ของค่าย เคาะราคาขายแค่ 12.8 ล้านบาท

 อันดับที่ 8 Porsche 911 Carrera S

 จากหรูมาดูสปอร์ตกันบ้างกับค่ายรถยนต์ชั้นนำ อีกหนึ่งที่มาพร้อมการนำสเนอสมรรถนะระดับซุปเปอร์ ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน กับเอกลักษณ์ หน้ากบของค่ายรถยนต์ Porsche ที่จัดการยกเครื่องตั้งแต่โครงสร้างอลูมิเนียมใหม่ ให้เบาหวิวบวกระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 100 ม.ม. และยังลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิเสียดทานเพียง 0.29 Cd แต่ที่ขับสนุกจริงเป็นเครื่องยนต์แบบ Flat 6 3.8 ลิตร ให้กำลัง 400 แรงม้า เร่งสะใจ 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน เวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนราคาก็แรงพอกับความเร็ว จัดไป 16 ล้านบาทเท่านั้น

 อันดับที่ 7 Bentley Continental GT



ชื่อนี้เรียกว่าทั้งหรูและแรง สำหรับรถยนต์ Bentley รถจากแดนผู้ดีที่ระห่ำได้ใจจากเวอร์ชั่นหรู สู่เวอร์ชั่นทั้งหรูและแรงกว่าทั่วไป พกเครื่องยนต์ V8 ให้กำลัง 500 แรงม้า พร้อมทะยานความหรูแบบสะใจ จนซุปเปอร์คาร์ต้องเหลียวหลังกับตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 5 วินาทีกว่า ความเร็วปลายก็ทำได้ดีไม่แพ้กันถ้ากล้าเหยีบก็ทำได้ 290 ก.ม./ช.ม. แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้คุณต้องจ่ายราคา 18.9 ล้านบาทเป็นค่าตัว


อันดับที่ 6 Lamborghini Gallardo LP560- Spider

 เจ้ากระทิงดุค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์เป็นที่รู้จักกันดีเริ่มต้นด้วยอันดับ6 ในการรับลมชมวิวแบบสปอร์ตพันธุ์แท้ในสไตล์ Spyder ที่คัดสรรวัสดุเกรดดี เรียกว่าไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความแรง ส่วนเจ้าตัวนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 ก.ม./ช.ม. มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมพลัง 560 แรงม้า แต่ราคาก็แรงตามรถ เคาะขายที่ 23.5 ล้านบาท

 อันดับที่ 5 Lamborghini Gallardo LP 570-4 Superleggera



กระทิงดุอีกคันจากงานมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ค่ายรถยนต์เจ้านี้ภูมิใจนำเสนอความแรงเต็มพิกัด กับ 570 แรงม้า ที่ฟังดูไม่ต่างจากอันดับที่ 6 ของเรา แต่ มันเจ๋งกว่า เมื่อคุณรู้ว่าพลังทั้งหมดของมันแบกน้ำหนักเพียง 1340 ก.ก. ทำตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที แต่ราคาก็อัพไปอีก ถ้าอยากได้หยอดกระปุกเอาไว้ให้ได้ 25.5 ล้านบาทแล้วมาว่ากันอีกที



อันดับที่ 4 Rolls-Royce Ghost Extended Wheelbase



ในที่สุดมันก็มาโผล่ที่ไทย สำหรับค่ายถยนต์พันธุ์หรูตัวจริงเสียงจริงในนาม Rolls-Royceแม้แต่เศรษฐีกระเป๋าตุง อาเสี่ยกระเป๋าหนักยังมีร้องจ้าก!! เมื่อเจอราคา โดยในรุ่นนี้ที่ภูมิใจนำเสนอ มันมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร ปั่นฝีเท้าด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า และขับสนุกด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8สปีด เคาะราคาจนตัวคุณเบาหวิวเมื่อควักเงินจ่ายที่ 27.9 ล้านบาท



อันดับที่ 3 Bentley Mulsanne 2012



อีกคันจากค่ายรถยนต์ Bentley ให้ความหรูหราระดับที่คุณต้องประทับใจ แต่ความประทับใจนี้ต้องใช้เงินถึง 33.6 ล้านบาท จึงจะได้สัมผัส พระราชวังที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ประณีตสุดๆในการออกแบบ และการเลือกวัสดุชั้นดี โดยทั้งหมดไม่ได้เน้นเรื่องแรงมาก แต่ก็จัดขุมพลัง V8 6.8 ลิตร ให้กำลัง 505 แรงม้า พร้อมอภิมหาแรงบิด 1,020 นิวตันเมตร และแม้รถคันนี้ จะหรูหราแต่ความเร็วปลายก็ยังซิ่งได้ถึง 296 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 2 Lamborghini Aventador LP700-4


เป็นที่ฮากันทั้งโลกไซเบอร์กับชื่อรถคันนี้ ที่มีฝรั่ง แกะคำของค่ายกระทิงดุว่า A Vent และ A door กลายมาเป็นชื่อของรถคันนี้ จริงๆนั่นก็เป็นมุกตลกขำๆ แต่จะไม่ขำ ถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ที่มีราคาค่าตัวกว่า 36.5 ล้านบาท แรงสั่งได้จากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า ขับสนุกด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เร่งแรงถึงใจ 0-100 ก.ม. ใน 2.9 วินาที และทำความเร็วสุงสุด 350 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 1 Rolls-Royce Phatom Drophead Coupe



รถหรูสำหรับท่านผู้นำก็ต้องคันนี้ ที่ไม่รู้ท่านผู้นำเราได้ไปเหมามาเข้าคอลเลคชั่นหรูรึปล่า แต่รถคันนี้คือที่สุดแห่งที่สุดความหรู และแพงในงานมอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยราคา 37.9 ล้านบาท มาในแบบรถคูเป้อาจดูเหมือนสปอร์ต แต่ที่นั่งแบบ 2 +2 มาพร้อม 4ประตู ที่ใต้ฝากระโปรงพกเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.75 ลิตร ตอบสนองกำลังสูงสุด 453 แรงม้า ให้แรงบิด 720 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ใน 6 วินาที ฟังดูมันอาจจะไม่แรงนัก แต่ถ้าเรื่องหรู คงต้องยกให้ไปเลย

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Hyundai H-1 Deluxe น่าใชหรือเปล่า

 Hyundai H-1 Deluxe น่าใชหรือเปล่า


ฮุนได H-1 ถือได้ว่าเป็นรถธงจากแดนกิมจิ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยโกยยอดขายแบบถล่มทลายจากรุ่นแรก มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน และล่าสุด ฮุนได ได้เผยโฉม The New Hyundai H-1 Series 2012 ที่มาพร้อมกับความหรูหรา สมรรถนะที่โดดเด่น และความประหยัดอย่างเหนือชั้น



The New Hyundai H-1 Series 2012 ได้รับการปรับแต่งให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 392 นิวตันเมตร เป็น 441 นิวตันเมตร ในรุ่น H-1 Deluxe และ H-1 Executive เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ H-1 Touring เกียร์ธรรมดา ก็ได้รับการปรับแต่งในเรื่องของสเปกให้เหมาะกับการใช้งานที่หนัก แต่เน้นการประหยัดที่มากขึ้น




สำหรับ H-1 ที่ผู้เขียนได้นำมาทดสอบคือ H-1 Deluxe เครื่องยนต์ดีเซล 2,500 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สัมผัสแรกที่เห็นต้องยอมรับว่ารูปโฉมมีความล้ำสมัย สวยงามไม่แพ้แบรนด์จากญี่ปุ่น หรือยุโรป กันเลยทีเดียว กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม พร้อมชุดแต่งด้านข้างรอบคัน กันชนหน้า-หลังสีทูโทน พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 ช่วยให้มองเห็นได้ในระยะไกล ขณะที่ภายในเลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม



คอนโซลและสีภายในเป็นสีเบจทูโทน พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมหัวเกียร์ตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัล แผงปรับอากาศสีเมทัลพร้อมลายไม้ แยกการควบคุมหน้า-หลัง เบาะนั่งหนังแท้ มีทั้งหมด 12 ที่นั่ง โดยแถวที่สองสามารถหมุนได้ แถวที่สามและสี่ปรับเอนและเลื่อนได้ นอกจากนี้แถวที่สี่ยังสามารถพับเก็บได้เมื่อต้องการบรรทุกสิ่งของ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้ครบครัน อาทิ ประตูห้องโดยสารเปิดสไลด์สองข้าง พร้อมกระจกแบบเลื่อนได้ และกล้องมองภาพด้านหลัง พร้อมเส้นกะระยะ เป็นต้น



ช่วงการทดสอบ ผู้เขียนพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกัน 6 คน ไปพักผ่อนต่างจังหวัด การขับขี่ในเมืองถึงแม้ว่าจะเป็นรถเอ็มพีวีขนาดใหญ่ แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ ที่ปรับแต่งให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างไหลลื่น ไม่อืดอาดเหมือนรถในเซ็กเมนท์เดียวกัน ในบางเวลาถึงแม้ว่ารถจะติด ก็ไม่ทำให้น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะสามารถดูหนัง ฟังเพลงผ่านจอ LCD ที่ติดเพดานห้องโดยสารได้ ขณะที่การขับขี่นอกเมืองให้ความคล่องตัวดี เบาะนั่ง



หนังแท้ นั่งสบายทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารก็ตาม ระบบปรับอากาศแยกหน้า-หลัง ให้ความเย็นได้อย่างทั่วถึง

ระบบช่วงล่างของ H-1 Deluxe ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังคอยล์สปริง พร้อมแขนยึด 5 จุด ให้การยึดเกาะถนนได้ดี เวลาขับขี่เข้าโค้ง ไม่มีอาการโยนแม้แต่นิดเดียว ขณะที่พวงมาลัยเพาเวอร์ก็ช่วยให้การขับขี่สะดวกมากขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอยเป็นแบบสปอร์ต มาพร้อมกับยางขนาด 215/70 R16 ก็เหมาะสมกับตัวรถได้ดี


ด้านความปลอดภัยมั่นใจได้ นอกจากจะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก ABS พร้อมดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อแล้ว ฮุนไดยังมีจุดเด่นในเรื่องแชสซีที่มีความหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะฮุนไดเป็นบริษัทผลิตรถยนต์เบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่มีโรงงานถลุงเหล็กเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเลือกใช้วัสดุที่ดีแต่มีราคาถูกได้

สรุปแล้ว H-1 Deluxe ถือได้ว่าเป็นรถยนต์เอ็มพีวีหรู ระดับพรีเมียม ที่มีจุดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งราคาที่ดึงดูดใจเพียง 1,524,000 บาท น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

 ที่มา เเนวหน้า

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

TOYOTA AURIS 2013 รุ่นใหม่สวยกว่าเดิม

TOYOTA AURIS 2013 รุ่นใหม่สวยกว่าเดิม


  ทางด้านโตโยต้า (Toyota) บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้เผยภาพรถรุ่นใหม่ล่าสุดของ "โตโยต้า ออริส 2013" (Toyota Auris 2013)




ออกมาให้สาวกโตโยต้าทั้งหลายได้ชื่นชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการนำมาให้ชมก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในงาน 2012 Paris Motor Show ที่ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

TOYOTA AURIS

          สำหรับนิว โตโยต้า ออริสนี้ รูปลักษณ์นั้นจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับ โตโยต้า โคโรลล่า (Toyota Corolla) โดยเป็นรถยนต์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ที่ปรับแต่งส่วนหน้าและท้ายของรถให้ดูเฉียบคมมากยิ่งขึ้น โดยตัวถังรถยาว 4,275 มิลลิเมตร ขนาดกว้าง 1,760 มิลลิเมตร และสูง 1,460 มิลลิเมตร ซึ่งตัวรถยาวกว่ายาริสรุ่นปัจจุบัน 30 มิลลิเมตร แต่โหลดต่ำกว่าเดิม 55 มิลลิเมตร และต่ำกว่ารถยนต์แทบทุกคันในปัจจุบัน  มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.28 และน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบัน 40 กิโลกรัม

TOYOTA AURIS

          ด้านสมรรถนะการขับเคลื่อน มีเครื่องยนต์แบบเบนซินขนาด 1.3 และ 1.6 ลิตร เครื่องยนต์แบบดีเซลขนาด 1.4 ลิตร และมีเครื่องยนต์แบบไฮบริดที่ผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กำลังจากแบตเตอรี่นิเกิลเมทัลไฮดราย (Ni-Mh Battery) ส่วนภายในห้องโดยสารได้มีการปรับปรุงใหม่แทบทุกจุด ซึ่งใช้วัสดุคุณภาพสูงและออกแบบได้สวยงามดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตูที่อ่อนนุ่มถนอมมือ พนักพักแขนอย่างดี เบาะและคอนโซลผ้าซาตินสีเงินเงางาม เป็นต้น พร้อมกับที่นั่งและที่วางขาที่กว้างขวางกว่าเดิมทำให้นั่งได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย

TOYOTA AURIS

          ในส่วนของคุณสมบัติรถและรายละเอียดด้านอื่น เช่น อัตราเร่ง ความเร็ว แรงบิด  รวมไปถึงราคาของโตโยต้า ออริสนั้น ทางโตโยต้าเองยังไม่ได้มีการเผยรายละเอียดแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าคงจะได้ทราบพร้อมกันในงาน 2012 Paris Motor Show อย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

All New Isuzu D-MAX ความคุ้มค่าราคา

 All New Isuzu D-MAX ความคุ้มค่าราคา

 อีซูซุเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" เริ่มวางจำหน่าย 14 ตุลาคมนี้




          เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด ได้เปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" (the All-new Isuzu D-Max) ที่เป็นการพลิกโฉมหน้าปิกอัพรุ่นใหม่ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยียานล้ำสมัย ความเร็วประหนึ่งรถไฟหัวกระสุน กำหนดมาตรฐานใหม่ อีกทั้งคิดค้นและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถปิกอัพทั่วโลกอย่างแท้จริง



          โดยคนไทยจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่นี้ก่อนประเทศใดในโลก ที่ซึ่งมีการเปิดตัว The All New Isuzu D-MAX ในรอบสื่อมวลชนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ 14 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป สนนราคาเริ่มต้น รุ่นสปาร์ค ตอนเดียว ราคา 465,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป วี-ครอส 4 ประตู ราคา 994,000บาท


งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

คุณสมบัติพิเศษของอีซูซุดีแมคซ์ใหม่
 รูปลักษณ์ภายนอก
          สำหรับอีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่นั้น มาพร้อมกับรูปลักษณ์แนวสปอร์ต มีการดีไซน์ด้านหน้าให้เป็นแบบสามมิติ เพิ่มความชัดในการมองเห็น มีไฟหน้าขนาดใหญ่ และไฟท้ายแบบ LED ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการรถกระบะที่มีการนำเอาไฟแบบ LED มาใช้ และตัวถังแค็ปเปิดได้
 ห้องโดยสาร
          เป็นการดีไซน์แบบ "DELUXE CAPSULE" ผสานกับ "UNIVERSAL DESIGN" ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ สะดวกสบายเหมาะสมกับทุกสรีระ ส่วนเบาะนั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
 แผงหน้าปัด
          ดีไซน์แผงหน้าปัดขนาดใหญ่แบบ Super Vision ที่แสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ แถมยังมีโหมดภาษาไทยให้เลือกด้วย ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว และปรับความสว่างได้อัตโนมัติ
 ระบบเสียง
          ติดตั้งระบบเสียงเป็นแบบ "SURROUND SOUND" สูงสุดถึง 8 ลำโพง มีลำโพงคู่หน้าขนาดใหญ่พิเศษ FULL-SIZE 6x9 นิ้ว และลำโพง EXCITER ติดตั้งบนเพดาน ช่วยให้เสียงสมจริงทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับเสียงโดยอัตโนมัติตามความเร็วของรถ

Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max
 เครื่องยนต์

          สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ 2500 Ddi VGS TURBO หรือเทอร์โบแปรผัน สามารถรีดกำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์  2500 Ddi TURBO รีดกำลังสูงสุดได้ 116 แรงม้าเท่าเดิม และหากเป็นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS TURBO จะให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที

 เกียร์
          ปรับเกียร์ใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม "REV-TRONIC" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบ "SPORT-SHIFT" ช่วยให้เข้าเกียร์ง่ายจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไหลลื่น

 ล้อและช่วงล่าง
          ขยายฐานและความกว้างของล้อให้ใหญ่ขึ้น กระจายน้ำหนักได้สมดุลขึ้น ด้วยการจัดตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องหลังล้อคู่หน้า พร้อมแชสซีส์ขนาดใหญ่ในรถระดับเดียวกัน ส่วนช่วงล่างได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยส์สปริง และแหนบขนาดยาวพิเศษในช่วงล่างหลัง เพื่อให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น

 ระบบความปลอดภัย
          มั่นใจได้ด้วยระบบความปลอดภัยแบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ด้วยเบรก ABS พร้อม EBD และ BA นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ประกอบกับหม้อลมเบรกขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อม TIED-BAR ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์แบบลูกสูบคู่

          ที่สำคัญ อีซูซุดีแมคซ์โฉมใหม่ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบป้องกันขณะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบเหล็กกล้า ที่ผลิตจากเหล็กหนาพิเศษ และตัวถังแบบซูเปอร์ สเปซแค็บ (SUPER SPACECAB) บานแค็บเปิดได้ (ตู้กับข้าว)
 อื่น ๆ
          - แกนพวงมาลัย และแป้นเบรกแบบยุบตัวได้
          - เข็มขัดนิรภัยมีกลไกดึงกลับอัตโนมัติ
          - มีระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ซึ่งจะทำงานทันที เมื่อรถวิ่งได้ความเร็วประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
          - ระบบป้องกันกระจกหนีบ (WINDOW JAM PROTECTION) ด้านคนขับ
          - เทคโนโลยี "ISUZU INSIGHT" ช่วยประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่แบบเฉพาะตัว ทำให้การขับขี่ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น

ที่มา kapook

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Honda Fit Twist สเปค ราคา ความคุ้มค่า


Honda Fit Twist สเปค ราคา ความคุ้มค่า

นอกจากการทำตลาดในแบบรถจ่ายกับข้าวด้วยตัวถังทรงกล่องในสไตล์ซับคอมแพ็กต์แล้ว ฮอนด้าเองยังเปิดแนวรุกใหม่ให้กับรถยนต์ยอดนิยมอย่างฟิต หรือแจ๊ซในบ้านเรา ด้วยการผลิตรุ่นยกสูงเน้นความบึกบึนในชื่อ ทวิสต์ ออกมาอีกด้วย


     
       ฟิต ทวิสต์ ถือเป็นรถยนต์ของฮอนด้ารุ่นแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นโมเดลใหม่เพื่อสเป็กสำหรับบราซิลโดยเฉพาะ และถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานเซา เปาโล มอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยรูปลักษณ์และหน้าตาที่เน้นความบึกบึน และพร้อมลุยทางวิบากได้ในระดับหนึ่ง


     
       ตัวรถยังคงใช้พื้นฐานเดียวกับฟิต/แจ๊ซ โมเดลที่ขายอยู่ในปัจจุบัน แต่มีการเพิ่มสัมผัสแห่งความแตกต่างด้วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ลุยได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในใช้พลาสติกสีดำคลุมตามบริเวณซุ้มล้อทั้ง 4 ด้าน และการออกแบบกันชนหน้าใหม่ เพื่อให้ดูแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังมีล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และเสริมรูฟแร็คติดมาให้จากโรงงานเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน




       สำหรับภายในห้องโดยสารยังคงใช้รายละเอียดหลักเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ติดขอบโครเมียมที่ช่องแอร์ แผงหน้าปัด และเบรกมือ รวมถึงการใช้วัสดุที่กันน้ำ และล้างทำความสะอาดได้ง่ายเพื่อรองรับกับการใช้งานที่อาจจะต้องมีเลอะโคลนกันบ้าง
     
       เครื่องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนยังเป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 1,500 ซีซี 116 แรงม้า ที่มีการปรับสเปกให้เป็น Flex-Fuel สามารถรองรับกับการใช้เชื้อเพลิงแบบ E100 ซึ่งเป็นที่นิยมในบราซิลได้ แต่ถ้าจะแล่นโดยใช้น้ำมันเบนซินเพียวๆ ก็ได้ จะสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 115 แรงม้า และมีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
     
       ในบราซิลเริ่มทำตลาดช่วงต้นเดือนหน้ากับราคา 28,600 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 858,000 บาท แพงกว่าฟิตธรรมดาร่วมๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 150,000 บาท
     
       อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่รู้ว่าจะมีการส่งออกมาลุยตลาดแห่งอื่นด้วยหรือเปล่า เพราะจริงอยู่ที่ข่าวระบุว่าพัฒนามาเพื่อตลาดบราซิล แต่ไม่แน่ถ้าเกิดฮิตขึ้นมา อาจจะมีการส่งขายในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็ได้

บทความ จากผู้จัดการ คลิปจาก youtube
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130536

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การติดฟิล์มกรองแสงมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

การติดฟิล์มกรองแสงมีข้อดีข้อเสียอย่างไร


การติดฟิล์มกรองแสงแบบบานหน้าเต็มบานมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
การติดฟิล์มกรองแสงแบบบานหน้าเต็มบานจะช่วย

ลดความร้อนที่เข้ามาทางกระจกด้านหน้าของรถยนต์
ลดแสงที่จ้าในเวลากลางวัน

กรณีกระจกเกิดแตกขณะขับขี่หรือถูกสะเก็ดหินฟิล์มกรองแสงจะช่วยยึดเศษกระจกไม่ให้แตกกระจาย คือ เศษกระจกแทนที่จะกระเด็นเข้ามาภายในโดยเศษกระจกอาจจะทำอันตรายหรือกระเด็นเข้าตาได้
อย่างไรก็ตาม การติดฟิล์มแบบบานหน้าเต็มนั้นไม่ควรใช้ฟิล์มที่มีความเข้มมากจนเกินไป เพราะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่เวลากลางคืนไม่ดี และอาจถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ควรติดฟิล์มที่มีค่าแสงส่องผ่านตั้งแต่ 50 % ขึ้นไป


ฟิล์มกรองแสง 40%, 60%, 80% มีความหมายว่าอย่างไร
เป็นตัวเลขที่เรียกความเข้มของฟิล์มกรองแสง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงในยุคแรกๆ ที่มีการจำหน่ายฟิล์มกรองแสงในประเทศไทย ซึ่งในยุคแรกๆ ฟิล์มกรองแสงที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้นจะมีไม่กี่เบอร์ คือ ประมาณ 3-4 เบอร์ เช่น เบอร์ 05, 20,35,50 ซึ่งเบอร์นั้นๆ ตามมาตรฐานสากลจะบ่งบอกถึงค่าที่แสงสามารถส่องผ่านได้ เช่น

เบอร์ 05 แสงสามารถส่องผ่านได้ 5% (ฟิล์มจะเข้ม 95%)
เบอร์ 20 แสงสามารถส่องผ่านได้ 20% (ฟิล์มจะมีความเข้ม 80%) เป็นต้น
ซึ่งในยุคแรกๆ ทั้งผู้บริโภคและร้านค้ายังไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าวจึงใช้การประมาณความเข้มของฟิล์มแทน เช่น เบอร์05 แสงผ่านได้ 5% ฟิล์มจะมีความเข้ม 95% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 80%, เบอร์ 20 แสงส่องผ่านได้ 20% ฟิล์มจะมีความเข้ม 80% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 60%, ฟิล์มเบอร์ 50 แสงส่องผ่านได้ 50% ฟิล์มจะมีความเข้ม 50% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่า 40% ซึ่งการเรียกดังกล่าว ยังเข้าใจกันผิดๆ อยู่จนทุกวันนี้

      ฟิล์มประเภทโลหะจะมีหลายหลายความเข้มและหลากหลายความเงา ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงก็แทบจะไม่มีผล เพราะโดยปกติแล้วขอให้ท่านลองสังเกตดูกระจกรถบางคันก็สามารถสะท้อนแสงมาก ทั้งๆที่ไม่ได้ติดตั้งฟิล์มกรองแสงเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมุมในการสะท้อนก็จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน เช่น ช่วงเวลา มุมเอียงของกระจก ซึ่งมุมเอียงของกระจกนั้นจะยิ่งสังเกตได้ง่าย โดยถ้าขับรถตามหลังรถบางคันจะเห็นว่ามุมเอียงของกระจกจะไม่เท่ากัน และรถบางประเภทมุมของกระจกแทบจะตั้งฉากเสียด้วยซ้ำ สรุกคือแทบไม่มีผล ฟิล์มประเภทโลหะจะเพิ่มค่าความสะท้อนของแสงขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรเลือกใช้ฟิล์มที่มีความสะท้อนแสงที่มากเกินไป(ควรเลือกที่มีค่าไม่เกิน 35%)



วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับเครื่องเสียงรถยนต์ที่ควรรู้

ความรู้เกี่ยวกับเครื่องเสียงรถยนต์ที่ควรรู้


  สำหรับชุดเครื่องเสียงที่ใช้ฟังเพลง  ก็ควรเลือกที่ใช้สำหรับฟังเพลงเพียงอย่างเดียว  ประเภทดูหนังเผื่อไว้ด้วย  คอเพลงขนานแท้ท่านว่าที่สามารถดูหนังได้จะฟังเพลงไม่ไพเราะ  เสียงขาดความกังวาน  เนื่องจากต้องมีการทำงานในหลากหลายหน้าที่  และควรเลือกที่มีภาคปรีเอ้าท์สูงสักหน่อยอย่างต่ำๆก็ควรมีสัก  4  โวลท์  อนาคตต่อเพาเวอร์แอมป์สักเครื่อง  จะได้พละกำลังและคุณภาพเสียงที่ดี  ถ้าจะให้ดีควรมีขั้วต่อภาคปรีเอ้าท์  3  ชุด  สำหรับการต่อเพาเวอร์แอมป์ขับลำโพงชุดหน้าและชุดหลังพร้อมช่องซับวูฟเฟอร์เอ้าท์  เพื่อการใช้งานกับเพาเวอร์แอมป์ขับซับวฟเฟอร์โดยเฉพาะ  

      ความจำเป็นของปรีแอมป์  ถ้าในกรณีที่เลือกเฮดยูนิตคุณภาพดี  มีภาคปรีเอ้าท์แรงดันสูงหรือมีขั้วต่อครบสำหรับลำโพงชุดหน้า-หลังและซับวูฟเฟอร์  การเพิ่มปรีแอมป์ก็ไม่จำเป็นนัก  ยกเว้นเสียแต่ว่าอยากได้การปรับแต่เสียงตามใจชอบ  เพิ่มเสียงในช่วงความถี่ต่างๆ  หรือต้องการบุคลิกของปรีแอมป์มาช่วยเสริมคุณภาพเสียง  เช่น  ปรีแอมป์ที่มีหลอดร่วมทำงาน  อันนี้ก็ตามสะดวกใจ  แต่ในลำดับต้น  ควรเลือกฟร้อนท์ที่มีคุณภาพดีและทุ่มงบไปที่ฟร้อนท์ก่อนนึกถึงปรีแอมป์ครับ

     เพาเวอร์แอมป์  เลือกอย่างไร  ควรใช้เพาเวอร์แอมป์กี่แชนแนล  ระบบคลาสเอบี  คลาสดี  หรือว่าคลาสไหนเหมาะสมอย่างไร   ประเด็นแรกสุดคือดูความต้องการของระบบเสียงในรถ  ในกรณีที่มีลำโพงชุดหน้าและหลังก็ควรจะใช้เพาเวอร์แอมป์ 4  แชนแนล  สำหรับขับลำโพงชุดหน้าและหลัง  ถ้ามีลำโพงซับวูฟเฟอร์ร่วมด้วย  เพาเวอร์แอมป์  5  แชนแนลดูจะครบ  ตรงความต้องการมากกว่า  ทั้งสามารถขับลำโพงชุดหน้าและชุดหลังรวมถึงขับซับวูฟเฟอร์  แต่ในบางกรณีอาจใช้เพาเวอร์แอมป์  4  แชนแนล  โดยใช้ขับลำโพงคู่หน้าและบริดจ์เพื่อขับลำโพงซับวูฟเฟอร์  ลำโพงคู่หลังปล่อยให้เป็นหน้าที่สำหรับไฮเพาเวอร์จากฟร้อนท์  แต่อย่าลืมว่าการมีเพาเวอร์แอมป์แยกขับลำโพงหลายตัวก็จะดีกว่าในด้านพลังเสียงที่ได้



     เพาเวอร์แอมคลาสเอบีและคลาสดี  เทียบความแตกต่างกันในด้านบุคลิกเสียงจะพบว่า  คลาสเอบีส่วนใหญ่ให้เสียงได้ราบรื่นกว่า  มีการแยกน้ำหนักเสียงดังเบาได้เด่นชัดกว่า  สำหรับคลาสดีนั้น  ส่วนใหญ่ถูกสร้างมาให้ทำงานเฉพาะช่วงความถี่  โดยจะทำงานช่วงความถี่ต่ำสำหรับให้นำไปขับลำโพงซับวูฟเฟอร์โดยเฉพาะ  ในเรื่องเสียงให้พละกำลังได้มากกว่า  เหมาะสำหรับชุดเครื่องเสียงที่ต้องการพละกำลังจากเพาเวอร์แอมป์  สำหรับสร้างพลังเสียง  แต่ในเรื่องรายละเอียดและการแยกน้ำหนักเสียง  เพาเวอร์แอมป์คลาสเอบีสามารถทำได้ดีกว่า  อันนี้เทียบกันด้วยคุณภาพและราคาที่เท่าเทียมกันนะครับ

     ไบแอมป์-ไทรแอมป์  ชุดเครื่องเสียงใดมีเพาเวอร์แอมป์ในระบบมากกว่า  1  เครื่อง  ย่อมให้พลังเสียงที่มากกว่ามีเครื่องเดียว  การเล่นแบบไบแอมป์(แอมป์ 2 เครื่อง)หรือไทรแอมป์(แอมป์ 3 เครื่อง)  พลังเสียงที่ขับลำโพงก็จะยิ่งมากตามไปด้วย  พลังเสียงที่เพิ่มขึ้นมาจะช่วยแยกน้ำหนักเสียง  เพิ่มแรงปะทะ  รวมถึงสามารถขับลำโพงได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น  แต่การมีเพาเวอร์แอมป์มากกว่า  1  เครื่อง  จะต้องเพิ่มเงินในส่วนของค่าสายต่างๆ  ซึ่งอาจจะต้องลดคุณภาพและราคาของเพาเวอร์แอมป์เพื่อให้ได้ปริมาณดังที่ตั้งใจ  และการมีเพาเวอร์หลายเครื่อง  ส่งผลถึงการจูนเสียงที่ยากขึ้น  มีผลต่อสมดุลเสียง  การทุ่มงบไปกับเพาเวอร์แอมป์คุณภาพเพียงเครื่องเดียว  ย่อมเป็นทางออกที่ประหยัดและไม่ยุ่งยากในภายหลัง

     กำลังวัตต์จำเป็นไหมที่ต้องเลือกสูงๆ  ในเพาเวอร์แอมป์บางเครื่องบอกกำลังขับไว้สูงมาก  แต่ไม่ได้หมายความว่าเพาเวอร์แอมป์เครื่องนั้นจะให้ประสิทธิภาพ  พละกำลัง  แสดงรายละเอียดของเสียงออกมาได้อย่างดี  กับเพาเวอร์แอมป์บางเครื่อง  บอกกำลังขับไม่สูงนัก  แต่มีพลังผลักดันลำโพงให้ถ่ายทอดพลังและรายละเอียดเสียงได้อย่างมีคุณภาพที่ดี  กำลังวัตต์จึงไม่ใช่ตัวเลขสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อเพาเวอร์แอมป์สักเครื่อง  ให้พิจารณาไปที่คุณภาพการผลิต  ชิ้นส่วนในการผลิต  รวมถึงชื่อของผู้ผลิต  อันจะทำให้มั่นใจว่าได้สินค้าที่มีคุณภาพ  เหนือใดอื่นคือต้องลองฟังด้วยตนเอง

       ลำโพง  การเลือกลำโพงไม่ยากครับ  เพราะเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มองเห็นได้ชัดเจนแทบจะทุกสัดส่วน  แต่การเลือกลำโพงให้ได้คุณภาพที่ดี  คุ้มราคา  และถูกหูเมื่อฟัง  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใช้เพียงสายตาดูเลยละครับ

       ลำโพงมีหลากหลายรูปแบบ  รวมถึงหลาหลายวัสดุและกรรมวิธีที่ใช้การผลิต  คุณภาพเสียงที่ได้จึงแตกต่างกันไป  ลองมาดูว่าควรเลือกใช้ลำโพงแบบไหนในกรณีอย่างไร

       ลำโพงแกนร่วม  ลำโพงชนิดนี้ดอกลำโพงเสียงแหลมมักจะอยู่ร่วมเป็นชิ้นเดียวกับตัวดอกลำโพงเสียงกลางทุ้ม เรียกว่าไปติดตรงไหนไปด้วยกัน  แยกกันไม่ออก  อาจจะมีพาสซีพครอสโอเวอร์แยกมาให้หรือติดตั้งอยู่กับตัวดอกลำโพง  ขึ้นอยู่กับคุณภาพของลำโพงนั้นๆ  ส่วนมากเราใช้ลำโพงแกนร่วมสำหรับเป็นลำโพงคู่สำรองหรือคู่ที่ไม่ได้เน้นการฟังเพลง  เพียงแค่ต้องการเสียงเบาๆจากลำโพงนี้เท่านั้น  เช่น  ติดลำโพงคู่หน้าและคู่หลัง  เพื่อประหยัดงบประมาณก็สามารถติดลำโพงแกนร่วมด้านหลังได้  เนื่องจากไม่ได้เน้นคุณภาพเสียงเท่าคู่หน้า  ติดเพียงเพื่อให้สมาชิกที่นั่งหลังมีส่วนร่วมในการฟังเพลง      

        ลำโพงแยกชิ้น  2  ทาง  เป็นชุดลำโพงที่ได้รับความมิยมและเลือกใช้มากที่สุดในการเลือกเครื่องเสียงรถยนต์  เหตุเพราะว่ามีเพียงดอกลำโพงเสียงแหลมและเสียงกลางทุ้มอุปกรณ์น้อยชิ้นติดตั้งไม่ยุ่งยาก  มีให้เลือกฟังเลือกใช้งานหลากหลายยี่ห้อ  ตามคุณภาพและวัสดุที่ใช้ผลิต  ในการเลือกลำโพงนั้นจำเป็นที่สุดคือต้องลองฟัง  ลำโพงบางคู่ให้เสียงธรรมดาเมื่อขับด้วยเพาเวอร์เครื่องหนึ่ง  แต่จะให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมเมื่อขับด้วยเพาเวอร์แอมป์อีกยี่ห้อหนึ่ง  เพราะฉะนั้นท่านผู้อ่านลองฟังลำโพง  ควรลองฟังหลายหลายชุดสลับเปลี่ยนกัน  เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงเต็มประสิทธิภาพที่ลำโพงคู่หนึ่งจะให้ได้  และอย่าตัดสินลำโพงคู่นั้นด้วยการฟังเพียง  5  นาทีหรือแค่เพลงเดียว    

      ลำโพงแยกชิ้น  3  ทาง  กำลังมาแรงและเป็นที่ได้รับความนิยม  มากที่สุดที่เห็นคงจะเป็นในส่วนของการแข่งขันสนามต่างๆ  ว่ากันว่า  3  ทางให้เสียงกลางที่ดี  สามารถยกเวทีเสียงให้สูงได้  เมื่อติดตั้งอย่างเหมาะสม  แต่ด้วยจำนวนดอกลำโพงที่มากขึ้น  อาจเกิดปัญหาความไม่สมดุลของเสียง  หรือการออกแบบพาสซีพครอสโอเวอร์ไม่ดีพอ ก็จะทำให้ลำโพงนั้นขาดความไพเราะ  

        ลำโพง  6  คูณ  9  นิ้ว  หรือที่นิยมเรียกกันว่าลำโพงรูปไข่  เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่เป็นวงรี  ลำโพงประเภทนี้เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการพลังและปริมาณเสียงทุ้มมากกว่าลำโพงแยกชิ้น  2-3  ทางสักหน่อย  เนื่องจากตัวดอกลำโพงเสียงกลางทุ้มมีขนาดที่ใหญ่  จึงผลักดันปริมาณเสียงทุ้มออกมาได้มากกว่า  เป็นอีกทางเลือกสำหรับงบประมาณที่จำกัด  แต่ต้องการปริมาณของเสียงทุ้มที่เพิ่มขึ้น

       สำคัญที่สุดสำหรับลำโพงไม่ใช้การเลือกซื้อครับ  แต่เป็นการติดตั้งที่พิถีพิถัน  ใส่ใจในการหาตำแหน่งที่ดีที่ตรงตามต้องการของท่านผู้อ่านให้มากทั้งสุด  ทั้งความสวยงามและคุณภาพเสียง

       ลำโพงซับวูฟเฟอร์  เป็นลำโพงที่ว่ากันด้วยเรื่องเสียงทุ้มอย่างเดียวครับ  ทุ้มต้นทุ้มลึกก็ล้วนออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์  ผู้อ่านท่านใดไม่พอใจเสียงทุ้มจากลำโพงกลางแหลมคู่เดิม  อยากได้เสียงทุ้มอิ่มลึก  พลังเสียงที่กระแทกกระทั้น  ก็คงจะต้องกล่าวกันถึงลำโพงซับวูฟเฟอร์  การเลือกลำโพงประเภทนี้ไม่ยากนักครับ  วัสดุที่ใช้ทำกรวยลำโพงควรแข็งแกร่ง  รวมถึงขอบเซอร์ราวน์ควรเหนียวนุ่ม  มีความยืดหยุ่นสูง  สไปเดอร์ควรยึดกระบอกวอยส์คอยของลำโพงได้เป็นอย่างดี  โครงลำโพงต้องแข็งแกร่ง  ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาจะส่งผลต่อการรับกำลังขับสูงๆ  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ  การหาปริมาณและตำแหน่งที่ติดตั้งของตู้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ครับ

       อุปกรณ์เสริมประเภทสายต่างๆ   ควรให้ความสำคัญครับ  ส่งผลโดยรวมต่อคุณภาพเสียงทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ  สายสัญญาณ  สายลำโพง  อย่าคิดว่าสายแบบไหนก็ส่งผ่านสัญญาณเสียงและกระแสไฟได้เหมือนกัน  สายไฟที่ผลิตจากตัวนำที่ดีย่อมส่งผลถึงคุณภาพในการไหลผ่านของกระแสไฟ  รวมถึงขนาดก็มีความสำคัญของปริมาณกระแสไฟที่ไหลผ่าน  สายสัญญาณส่งผลต่อรายละเอียดที่มาจากเฮดยูนิตเพื่อนำสู่ภาคขยายของเพาเวอร์แอมป์  สัญญาณเสียงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ครบถ้วนตกลงหล่นขาดหายหรือไม่  คุณภาพของสายสัญญาณเป็นตัวกำหนดสำคัญ  สายลำโพงคุณภาพของตัวนำและขนาดส่งผลโดยตรงต่อรายละเอียดและพลังเสียง  เมื่อต้องใช้สายลำโพงที่มีขนาดยาว  ก็ยิ่งควรให้ความสำคัญกับคุณภาพสายลำโพงให้มากขึ้น  เพื่อคุณภาพเสียงไม่ตกหล่นก่อนเข้าสู่การทำหน้าที่ของดอกลำโพงครับ

     คำกล่าวทั้งหมดในการเลือกใช้อุปกรณ์เป็นเพียงแนวทางในการตัดสินใจ  หลังจากท่านผู้อ่านตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องเสียงเพื่อฟังเพลงสักชุด  ควรให้ความสำคัญต่อการติดตั้ง  เพราะเครื่องเสียงอุปกรณ์เหมือนกัน  สิ่งที่จะทำให้แตกต่างกันมากที่สุดคืองานติดตั้ง  ใส่ใจสักนิดก่อนจ่ายเงินเพื่อให้ได้ชุดเครื่องเสียงที่ถูกใจ  คุณภาพเสียงไพเราะเข้าหูครับผม

ที่มา http://www.rocketsound.co.th

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

New Honda CR-V 2013 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

 New Honda CR-V 2013 สเปค ราคา ความคุ้มค่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก automobiles.honda.com

Honda CR-V 2013

          หลังจากที่รอคอยกันมานาน สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นล่าสุดของทางค่ายฮอนด้า "นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี" (New Honda CR-V) ในที่สุดทางค่ายได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมเผยราคาจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าทางฮอนด้าจัดหนักและจัดเต็ม เพื่อหวังครองตลาดบ้านเราให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้



          สำหรับ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ตัวล่าสุดนี้ จัดเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูล ซีอาร์-วี ที่ออกแบบโดยเน้นความหรูหราโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเท่มากขึ้น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่เฉพาะตัว และล้ออัลลอยด์ 5 ก้านขนาดใหญ่สุดเนี้ยบ ซึ่งทั้งหมดออกแบบมาได้อย่างกลมกลืน ส่วนสมรรถนะเบื้องต้น เครื่องยนต์จะมี 2 รุ่นได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 190 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า



       แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 220 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนั้น มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ผสานกับระบบควบคุมอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างสะดวก รวมทั้งช่วยลดแรงเสียดทานและการสั่นสะเทือนได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบอีโค แอสซิสต์ (Eco Assist) ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปอีก และยังสามารถรองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอล E85 ได้อีกด้วย

All-New Honda CR-V 2013 rear red colour

          ด้านภายในห้องโดยสารจะเน้นความกว้างขวางมากกว่ารุ่นเดิม เพราะเป็นรถเอสยูวีสำหรับครอบครัวขนาดย่อมอย่างแท้จริง โดยเป็นรถขนาด 5 ที่นั่ง ซึ่งที่นั่งด้านหลังคนขับนั้นพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ความจุในห้องวางของได้มากขึ้น วัสดุภายในรถไล่ตั้งแต่พรม หนังหุ้มคอนโซล เบาะที่นั่ง ทั้งหมดใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งสิ้น ตัวคอนโซลรถมีการปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (i-MID) ซึ่งสามารถช่วยนำทาง บอกปริมาณน้ำมัน เชื่อมต่อสัญญาณสมาร์ทโฟนระบบ Bluetooth รวมไปถึงมีหน้าจอแอลซีดีไว้เลือกชมเพื่อความบันเทิง เรียกได้ว่าเป็นรถเอสยูวีที่หรูหราและอเนกประสงค์แบบสุด ๆ

All-New Honda CR-V 2013 Engine

          สำหรับผู้ที่กำลังสนใจ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ปล่อยให้ต้องรอกันนานอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ได้วางจำหน่ายและเผยถึงราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่รุ่น 2.0 S แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,164,000 บาท รุ่น 2.0 E แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,274,000 บาท รุ่น 2.4 EL 2WD แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,440,000 บาท และรุ่น 2.4 EL แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,524,000 บาท ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าการขายไว้ที่ 20,000 คัน ภายใน 1 ปี

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

น้ำมันแก๊สโซฮอล์คืออะไร


น้ำมันแก๊สโซฮอล์คืออะไร

          แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95



          ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี


น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (GASOHOL)
        ทุกวันนี้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินที่ลิตรละเกือบ 30 บาท ได้ทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยและกลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดในทุกวงการได้พูดคุยถกเถียงกันหนาหู ถึงราคาที่ปรับขึ้นจนใกล้เข้าสู่จุดวิกฤตอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วยประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด และยังคงต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพยายามหาแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศมาใช้แทนน้ำมัน และหาแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 Image


       จากความต้องการของพลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี พ.ศ.2548 พบว่า ภาคขนส่งมีการใช้พลังงานมาที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 เกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ 
"แก๊สโซฮอล์"
ที่มา energy.go.th

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก leftlanenews.com

          ถ้าพูดถึงรถจี๊ป คุณคงนึกถึงรถใหญ่ ๆ ที่เหมาะสำหรับการขับเที่ยวลุยป่าลุยเขาหรือพื้นผิวที่ลำบากได้เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เห็นรถแรงของจี๊ปคันล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวออกมานี้ เห็นทีว่าภาพลักษณ์เดิม ๆ ของจี๊ปในความคิดคุณอาจจะเปลี่ยนไป เมื่อจี๊ปได้ผลิต Jeep Grand Cherokee SRT-8 รถจี๊ปรุ่นล่าสุดที่มาความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยผลิตมา


          โดยรถจี๊ปรุ่น SRT นี้เป็นการปรับปรุงรุ่น แกรนด์ เชโรกีขึ้นมาใหม่ ตัวย่อ SRT มาจาก Street and Racing Technology ซึ่งเป็นแผนกพัฒนาระบบเครื่องยนต์ขั้นสูงของบริษัทไครสเลอร์ ( Chrysler ) ส่วนรหัส 8 ที่ต่อท้ายหมายถึงเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นแรงของแกรนด์ เชโรกี มีเครื่องยนต์แบบใหม่ล่าสุด HEMI V8 ด้วยเทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน ความจุ 6.4 ลิตร สามารถวิ่งได้ถึง 800 กิโลเมตร สำหรับน้ำมันถังแรก ขณะที่ถังต่อมาได้ประมาณ 720 กิโลเมตร


          ด้านเครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ประมาณ 470 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 63 กิโลกรัมต่อเมตร อัตราเร่งทำได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและระยะเบรคจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนหยุดนิ่ง อยู่ที่ 35 เมตร ส่วนระบบเกียร์นั้นเป็นแบบ LSD ( Limited Slip Differential ) ที่ช่วยแก้ปัญหาเวลารถตกหล่ม ลดอาการล้อฟรี ช่วยควบคุมการสะเทือนและทรงตัวของรถได้อีกด้วย พร้อมระบบขั้นสูงจาก Brembo

          สำหรับจี๊ป แกรนด์ เชโรกี SRT-8คันนี้ ได้ออกจำหน่ายให้ผู้ที่ชื่นชอบรถลุยแรง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยราคาประมาณอยู่ที่ 61,160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,960,000 บาทไทย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โตโยต้า เซลิก้า 7 Generation

โตโยต้า เซลิก้า 7 Generation



Generation ที่ 1 (รุ่นปี พ.ศ. 2513-2521)

เซลิก้า โฉมที่ 1 มีรหัสตัวถัง A20 กับ A35 ออกสู่ตลาดในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2513 โดยใช้เครื่องคาบิวเรเตอร์สี่สูบ 1600, 1900, 2000 และ 2200 ซีซี

มีลักษณะตัวถัง 2 แบบ คือ liftback 3 ประตู และ hardtop 2 ประตู เซลิก้าโฉมนี้ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นที่มีคุณลักษณะและรายละเอียดเทียบเท่ากับรถ ฟอร์ด มัสแตง ของสหรัฐอเมริกา (ฟอร์ด มัสแตง ในอเมริกา เป็นรถที่โด่งดังและประสบความสำเร็จสูงมาก ซึ่งเป็นรถที่ครองสถิติประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการรถ) จนได้รับฉายาว่า "มัสแตงญี่ปุ่น" (Japanese Mustang)
มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 3 ระบบ คือเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, ธรรมดา 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 2



เซลิก้า โฉมที่ 2 มีรหัสตัวถัง A40 ออกสู่ตลาดครั้งแรกในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2520 แต่ได้ขึ้นแท่นแทนโฉมที่ 1 ใน พ.ศ. 2521 โดยมีทริมแบบ ST และ GT
มีเครื่องยนต์ 4 ขนาด คือ 1600, 1800, 2000, 2200 ซีซี ซึ่งพัฒนาระบบความปลอดภัยและการประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นแรก และรุ่นนี้มีตัวถัง 2 แบบคือ coupe 2 ประตู และ liftback 3 ประตู
เซลิก้า โฉมที่ 2 ได้รางวัล "รถยนต์นำเข้าประจำปี" ในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2521 ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 โตโยต้าได้ผลิตรถบ้านที่ผสมผสานเทคโนโลยีรถสปอร์ตเข้าไปด้วย เป็นรถ 4 ประตู ชื่อรุ่น "โตโยต้า เซลิก้า คัมรี่" หรือ "โตโยต้า คารีนา" ซึ่งขายดีมาก ทำให้สองปีต่อมา โตโยต้าได้มีการแยกเอารุ่นคัมรี่ออกจากตระกูลเซลิก้า และตั้งเป็นรถตระกูลใหม่ในชื่อ โตโยต้า คัมรี่
[แก้]Generation ที่ 3 (รุ่นปี พ.ศ. 2525-2529)



โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 3

เซลิก้ายุค 3 มีรหัสตัวถัง A60 ออกมาเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2524 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และใช้เครื่องยนต์ 4 ขนาด คือ 1600 1800, 2000 และที่เด่นที่สุดคือเครื่องแบบ 22RE 2400 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง
ในรุ่นปี พ.ศ. 2526 โตโยต้า ได้เพิ่มทริม GT-S สำหรับรถสปอร์ต ซึ่งรวมขนาดล้อที่ใหญ่ขึ้น แก้มล้อที่ใหญ่ขึ้น independent rear suspension และการตกแต่งภายในแบบรถสปอร์ต ได้แก่ เบาะรถสปอร์ต พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง และกระปุกเกียร์แบบรถสปอร์ต
โฉมนี้ มี 3 รูปแบบตัวถัง คือ liftback 3 ประตู, coupe 2 ประตู และ convertible 2 ประตู

โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 4




เซลิก้ายุค 4 มีรหัสตัวถัง T160 ออกมาเปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528 ได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่หมด โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า กับแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ตัวถังรถเริ่มลดความเหลี่ยมลงเมื่อเทียบกับโฉมก่อนๆ และเครื่องยนต์สี่สูบ 1600, 1800 และ 2000 ซีซี ในรุ่นนี้มีทริมแบบ ST, GT และ GT-S โดยในรุ่นทริม GT เปิดประทุนมีหลังคาแบบอ่อนขึ้น รุ่นทริม ST และ GT มากับเครื่อง 2S-E SOHC 8 วาล์ว 2000 ซีซี 92 แรงม้า และได้เปลี่ยนเป็นเครื่องเครื่อง 3S-FE DOHC 116 แรงม้า ในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ร่วมกับแคมรี รุ่นทริม GT-S ใช้เครื่อง 3S-GE DOCH 2000 ซีซี 135 แรงม้า
ในปี พ.ศ. 2531 โตโยต้าได้แนะนำเครื่อง GT-Four (ชื่อในสหรัฐว่า All-Trac) โดยเป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อพร้อมกับเทอร์โบชาร์จ ภายใต้เครื่อง 3S-GTE 190 แรงม้า 2000 ซีซี ซึ่งได้กลายมาเป็นรถแรลลีอย่างเป็นทางการของโตโยต้า

โฉมนี้ มีตัวถัง 3 แบบ คือ liftback 3 ประตู, coupe 2 ประตู และ convertible 2 ประตู ระบบเกียร์มีให้เลือกซื้อ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด




โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 5
โฉมที่ 5 เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2532 มีรหัสตัวถัง T180 โฉมนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปทรงไป โดยให้รถโค้งมนตลอดคัน แทนที่จะเหลี่ยมๆ เหมือนรุ่นก่อน และพัฒนาล้อและยาง โดยในอเมริกาเหนือ ทริม GT และ GT-S ใช้เครื่อง 5S-FE 2200 ซีซี ขณะที่ทริม ST สปอร์ต ใช้เครื่อง 4AFE 1600 ซีซี โดยทั้งหมดเป็น DOHC 16 วาล์ว โดยในปี พ.ศ. 2534 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องเล็กน้อยเป็น 135 และ 145 แรงม้า
ในรุ่น GT และสูงกว่าได้มีการนำมาใช้ระบบเบรกแอนตีล็อก รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆเพิ่มความหรูหราให้กับเซลิก้า
รถโฉมนี้มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด วงการรถไทยนิยมเรียกว่า "โฉม Pop-Up"
เซลิก้าโฉมที่ 5


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 6

เซลิก้าโฉมที่ 6 มีรหัสตัวถัง T200 เริ่มต้นผลิตในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 และส่งเข้าตลาดแทนที่โฉมที่ 5 ในรุ่นปี พ.ศ. 2537
เซลิก้าโฉมนี้ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จะมีรหัสตัวถัง ST202-ST204 และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีรหัสตัวถัง ST205

มีตัวถัง 3 รูปแบบ ได้แก่ liftback 3 ประตู, notchback 2 ประตู และ convertible 2 ประตู ความจุถังน้ำมันประมาณ 60.2 ลิตร
มีระบบเกียร์ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด ขนาดเครื่องยนต์ 3 ขนาด คือ 1800, 2000, 2200 ซีซี โฉมนี้วงการรถในไทยมักเรียกว่า "โฉมตากลม"


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 7


เซลิก้าโฉมที่ 7 มีรหัสตัวถัง T230 เริ่มต้นผลิตเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 ส่งเข้าตลาดแทนโฉมที่ 6 ในรุ่นปี พ.ศ. 2543
มีตัวถัง 1 รูปแบบ คือ liftback 3 ประตู ขนาดเครื่องยนต์ 1 ขนาด คือ 1800 ซีซี ยกเลิกตัวถังและเครื่องยนต์สำหรับขับเคลื่อนสี่ล้อ คงเหลือแต่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบเกียร์ 3 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด, ธรรมดา 5 สปีด และธรรมดา 6 สปีด
รุ่นปีสุดท้ายของรถตระกูลเซลิก้า คือ รุ่นปี พ.ศ. 2548 ก่อนจะถูกโตโยต้าสั่งปิดตัวการผลิตรถตระกูลเซลิก้าลงในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2549

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของ Mercedes Benz

 Mercedes Benz มีจุดเริ่มต้นเป็นยังไง ประวัติความเป็นมา


คาร์ล เบนซ์ และกอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้บุกเบิกแห่งโลกยนตรกรรมทั้งคู่เป็นนักประดิษฐ์ และพัฒนายานยนต์ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ได้ร่วมกิจการเป็นบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ เอจี(Daimler-Benz AG) ผู้ผลิตรถคุณภาพในนามเมอร์เซเดส-เบนซ์



        กอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้นำระบบสันดาปภายในมาสนองวิสัยทัศน์แห่งการขับขี่ขนส่งโดยเริ่มทดสอบเครื่องยนต์พลังสูงเครื่องแรกของโลกในปี 1883 สองปีต่อมาเขาได้ผลิตจักรยานยนต์คันแรกของโลกโดยติดตั้งเครื่องยนต์เข้ากับจักรยานอีกสามปีต่อมา เขาได้ติดตั้งเครื่องยนต์ดังกล่าวเข้ากับตัวรถม้านับเป็นรถยนต์สี่ล้อคันแรกในชีวิตนักประดิษฐ์ของเขา

        คาร์ล เบนซ์ เลือกเส้นทางยนตรกรรมที่แตกต่างจาก เดมเลอร์ เขาถือว่าการสร้างรถยนต์จะต้องอาศัยหลักการที่แตกต่างจากระบบรถเทียมม้าโดยสิ้นเชิงด้วย เหตุนี้เขาจึงออกแบบยานยนต์ให้มีสามล้อติดตั้งเครื่องยนต์หนึ่งสูบในแนวนอน และได้จดทะเบียนสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1986 จำนวนรถที่ผลิตจากโรงงานของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรถรุ่น "เวโล(velo)" เริ่มปรากฏโฉมโดยระหว่างปี 1894 ถึง 1901 ผลิตได้ถึง 1,200 คัน อาจกล่าวได้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์

ศาสตร์ และศิลป์แห่งยนตรกรรม

        เกียรติประวัติอันยาวนานได้พิสูจน์ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เป็นแค่พาหนะใช้งาน แต่เป็นผลึกความคิดซึ่งตกทอดมาจากรถคันแรกที่ใช้ชื่อ "เมอร์เซเดส" เมื่อ ค.ศ. 1900 ซึ่งมีรูปลักษณ์อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับบรรดา "รถม้าที่ไม่ใช้ม้าลาก" ในยุคนั้นกล่าวคือ มีเครื่องยนต์ติดตั้งด้านหน้า บังคับถอยหลังได้ ติดกระจังหม้อน้ำแบบรวงผึ้ง มีกลไกเปลี่ยนเกียร์ดรัมเบรก และแกนพวงมาลัยแนวเฉียง นวัตกรรมเหล่านี้ คือคุณลักษณะที่โดดเด่นมาจนถึงวาระแห่งการเปิดศักราชเครื่องยนต์พลังงานสูงในปี 1921 ด้วยฝีมือสร้างสรรค์ของเฟอร์ดินาน พอร์ช และนับจากนั้นเป็นต้นมา เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายรุ่นก็เรียงแถวออกมาเป็นดาวเด่นในวงการยานยนต์จนถึงปี 1952
ตำนานดาวสามแฉกในกรุงสยาม

        ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องรถยนต์เป็นอย่างมากจนกระทั่งในปี พ.ศ.2447 เสด็จกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ทรงสั่งให้บริษัทเยอรมันในกรุงปารีส ประกอบรถยนต์เก๋งหนึ่งคัน ยี่ห้อเมอร์เซเดส รุ่น 28 hp 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้าหมายเลขแชสซี คือ 2397 และหมายเลขเครื่องยนต์ คือ 4290 และได้ทรงนำรถขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก รถคันนี้ คือรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ต่อมาทรงเล็งเห็นว่ารถยนต์เพียงคันเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้งานตามพระราชประสงค์ เนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า และฝ่ายในหลายพระองค์ก็ทรงโปรดปรานรถยนต์กันทั้งนั้น จึงได้ตัดสินพระทัยซื้อรถยนต์พระที่นั่งอีกหนึ่งคัน และทรงเลือกเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้ง สั่งนำเข้าโดยตรงจากเยอรมนี เป็นรถเก๋งสีแดง รุ่นปี 2448 เครื่องยนต์สี่ลูกสูบขนาด 28 แรงม้า วิ่งเร็ว 73 กม. ต่อชั่วโมงซึ่งนับว่าเร็วมากในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามแก่รถยนต์ว่า "แก้วจักรพรรดิ์"

        ด้วยศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยบริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์(ประเทศไทย) จำกัด จึงได้เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศครอบคลุมทั้งการนำเข้า และประกอบรถยนต์ จัดจำหน่ายรถยนต์นั่งสาธารณะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ดาวสามแฉก ได้มาส่องสกาวนำทางอยู่บนท้องถนนเมืองไทยนับเป็นเวลากว่า 100 ปี และได้รับความนิยมชมชื่นในฐานะรถคุณภาพชั้นนำที่รับใช้คนไทยมาหลายยุคสมัย จวบจนวันนี้ได้มีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ โลดแล่นอย่างโดดเด่นเป็นสง่าทั่วประเทศไทยมาแล้วกว่า 100,000 คัน และเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรักษาความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรมเลิศหรูในประเทศไทยอย่างแท้จริง

ขอบคุณบทความจาก http://www.vrclassiccar.com

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Ford Focus ST รีวิว สเปค ราคา


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com

หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทาง Ford ได้เผยโฉมให้เห็นกับ ”Ford Focus ST” รุ่นปี 2013 กันแบบเต็ม ๆ แล้ว มาในปีนี้ Ford ก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มตัว เพราะ ณ ขณะนี้ Ford Focus ST รุ่นปี 2013 พร้อมแล้วกับการเตรียมออกจำหน่ายใน 40 ประเทศทั่วโลก

Ford Focus ST 2013
สำหรับ Ford Focus ST 2013 นี้ จะมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อยคือ ST1, ST2 และ ST3 ทั้งแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูและแบบเอสเตทที่จัดเต็มกับความสปอร์ตแบบไม่มียั้ง เริ่มตั้งแต่ส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ EcoBoost 2.0 ลิตร Ti-VCT ทำกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า กับอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เวลา 6.5 วินาที ซึ่งส่งกำลังผ่านเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับเซ็ทขึ้นมาใหม่

Ford Focus ST 2013
ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะแรงน่าดู แต่เรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Ford เอง ก็ได้จัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราทดพวงมาลัยขึ้นใหม่ เพื่อลดความเร็วเมื่อขับในทางตรง ตามด้วยระบบ ”Torque Vectoring Control” ที่ช่วยให้การเบรคของล้อทำได้ดีมากขึ้น และระบบควบคุมสเถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่มีให้เลือกใช้ 3 แบบ ทั้งการใช้งานตามปกติเพื่อเน้นการยึดเกาะถนน การใช้งานเฉพาะ ESP สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือจะเลือกปิดระบบนี้ไปเลยก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะใช้สมรรถนะแบบไม่ยั้ง
มาดูในส่วนของการดีไซน์บ้าง อย่างที่บอกไปว่า Ford Focus ST 2013 เน้นในเรื่องของความเป็นลุคสปอร์ต ฉะนั้น ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ก็จะมีดีไซน์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยภายนอกนั้น  ก็จะมีดีไซน์ตามแบบฉบับของ Ford แต่แฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่ส่วนกระจังหน้าที่เป็นแบบรังผึ้ง ไปยันท้ายรถที่ใช้ท่อไอเสียคู่ที่รับกันกับดีไซน์ทั้งหมด และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว
ด้านภายใน สะดุดตาทันทีกับเบาะนั่งของ Recaro ที่กระชากอารมณ์ของความเป็นรถสปอร์ตแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบที่ได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ ตามด้วยหน้าจอบริเวณคอนโซลที่ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และชุดเครื่องเสียงของ Sony กับลำโพงกว่า 10 ขุดที่มีอยู่กระจายทั่วห้องโดยสาร
ตามรายงานระบุว่า Ford จะส่ง Focus ST 2013 ออกจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดว่าทาง Ford ตั้งไว้ที่ค่าตัวเท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของกูรูรถยนต์หลาย ๆ คนมองว่า น่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 750,000 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่า นี่เป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีของแต่ละประเทศแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของ BMW

ประวัติความเป็นมาของ BMW


Friedrich Karl Rapp คือชื่อของผู้ก่อตั้ง BMW   หนึ่งของโลกที่ใหญ่ที่สุด บริษัท ผลิตรถยนต์ทั่ว BMW หรือชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า  Bayerische Motoren Werke (Bavarian Motor Works) ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 เป็นผู้สืบทอดที่ Rapp มอเตอร์

หลายคนคิดว่าโลโก้ของ BMW มาจากใบพัดสีขาวหมุนเห็นพื้นหลังของสีฟ้าที่ นี้อาจจะให้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นที่รู้จักกันว่ายังมาจากธงสีขาวและสีฟ้าของบาวา เรีย  รัฐใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐคือมิวนิ คและเป็นสถานที่ที่แม้วันนี้เราสามารถหาสำนักงานใหญ่ BMW



ในปี 1916 ด้วยรากฐานของ บริษัท สัญญาเป็นหลักประกันสำหรับการสร้างเครื่องมือ V12 เครื่องมือเหล่านี้จะถูก ใช้ในการสร้างรถยนต์จาก Austro - Daimler นี้ 12 ถังเครื่องยนต์ V ที่ใช้เป็นครั้งแรกในเครื่องบินซึ่งเป็นแผนเดิมของ บริษัท BMW การบัญชีเวลาที่ บริษัท ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นอย่างมากจะให้พวกเขาต่อไปเช่นนั้น

แต่ใน 1919 หลังสงครามโลกครั้งและสนธิสัญญาแวร์ซายการผลิตเครื่องบินในประเทศเยอรมนีได้ ห้ามและที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเมืองของ BMW พวกเขาเริ่มทำเบรกสำหรับ การขนส่งทางรถไฟ หลังจากที่ BMW ก็สามารถออกแบบเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ซึ่งใช้สำหรับการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีชื่อเรียกว่ารุ่น Victoria Victoria แต่ไม่ได้สร้างโดย BMW แต่ บริษัท อื่นใน Nuremberg

1924 BMW ทำในรูปแบบของรถจักรยานยนต์ที่เป็นครั้งแรกหนึ่งพวกเขาสร้าง  R32 นี้เป็นจุดเปลี่ยนใน ประวัติศาสตร์ BMW เพราะมันเป็นความสำเร็จที่สำคัญและทศวรรษที่พวกเขาใช้เทคโนโลยี 500 ซีซีของเครื่องยนต์เย็นลงโดยอากาศ หลังจากที่ BMW เพิ่มหนึ่งนวัตกรรมใหม่ driveshaft มาแทนสายสำหรับการขับขี่ ที่ล้อหลังและเป็นเครื่องหมายของ BMW สำหรับค่อนข้างบางเวลา

ในเยอรมันเมือง Eisenach ในปี 1927 เริ่มผลิต Dixi  ภายใต้ใบอนุญาต แต่เพียงหนึ่งปีหลังจากที่ บริษัท Dixi ถูกซื้อโดย BMW และพวกเขาเริ่มผลิตมวลร่วมกับรุ่น Austin Seven

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ เริ่ม BMW เอาสถานที่ในนั้นเพราะทางฝ่ายกองทัพของเยอรมัน พวกเขาใช้ BMW R75 พร้อมกับ BMW R12 เพราะต้องสูงของเครื่อง ยนต์ BMW บันทึกที่ระยะเวลาเป็นผลกำไรสูง BMW เป็นผู้ผลิตหลักและแม้คำนี้เช่น Wehrmacht Luftwaffe และนำความทรงจำมากมาย ของเครื่องบินที่ดีที่สุด ในครั้งประวัติศาสตร์ที่ใช้ BMW เครื่องยนต์ - Aero และจนถึง 1945 กว่า 30 000 เครื่องบินกับเครื่องมือเหล่านี้ผลิต

BMW ได้ทำวิจัยซึ่งทำให้ บริษัท เพื่อให้เครื่องยนต์เจ็ทที่แตกต่างกันสำหรับอาวุธ ด้วยการใช้อำนาจบางคนซึ่ง ประกอบด้วยส่วนใหญ่นักโทษของสงคราม BMW ที่ทำอาวุธจรวดตามจำนวนมากที่ถูกใช้ในสงคราม

หลังจากการสร้างอาวุธจรวด ตามส่วนของ บริษัท มี bombed โซเวียตวอดส่วนใหญ่ของ บริษัท ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเยอรมนีและโรงงานฐานในมิวนิคถูกทำลายเกือบสมบูรณ์

หลังจากสงคราม BMW ไม่สามารถกู้คืนได้อย่างรวดเร็วเพราะต้องสร้างโรงงานในมิวนิคที่ หลังจากที่เมื่อข้อ จำกัด จากพันธมิตรที่ใช้กับ BMW ถูกห้ามยาวสามปีที่ บริษัท ถูกห้ามจากการผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์จน 1948 ถึง 1952

ใน 1951 บริษัท บาวาเรียก็สามารถคืนเครื่องหมายการค้าและมันดูเหมือนเป็นที่สุดสามารถกู้และ เริ่มต้นใหม่จากสิ่งที่เหลือ ในปี 1959 Herbert Quandt กลายเป็นล้อ"ที่เปิด BMW รอบเพราะเขาปฏิเสธจัดการกับ Daimler - Benz และทันทีหลังจากที่เขาเพิ่มขึ้นของหุ้นใน บริษัท BMW ได้ถึง 50%

ชื่อของ Kurt Golda เป็นดังคนที่ incited Quandt ทำขั้นตอนนี้และในปีเดียวกัน BMW เริ่มผลิตของ BMW 700 ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ BMW 600 นี้รถยนต์ขนาดเล็กใช้ 2 สูบอากาศเย็นเครื่องยนต์และหลายปีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น LS" Coupe และชุดรถคับเบรียเลต์บางคนยังผลิต

ในปี 1963 BMW เสนอเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท และในปี 1966 โรงงานในมิวนิคมาถึงความจุสูงสุดและ BMW ซื้อ Hans Glas GmbH ข้อนี้ใช้ BMW เพื่อใช้ในโรงงาน Landshut และ Dingolfing

กับรูปแบบใหม่ที่ให้ Bertone ในปี 1972 BMW เริ่มผลิตชุดใหม่ 5 และในปีต่อ บริษัท ที่ทำก้าวหน้าใหญ่ในตลาด 6 ปีภายใต้การนำของ Bernd Pischetsrieder BMW ได้สามารถขยายการจัดการในตลาดโดยการซื้อจาก British Aerospace Rover Group ประวัติ Rover กลุ่มเริ่มต้นในปี 1986 และจนถึงขณะเมื่อ BMW มันเป็นของ บริษัท นี้ก็สามารถบรรลุสิ่งหลายอย่างเช่น Rover 400 ในปี 1990

แต่ Rover ถูกขายให้กับ Phoenix Holdings Venture และ Ford Motor Company เพราะบางปีขาดทุน BMW ตลกกดเรียก Rover"ผู้ป่วยอังกฤษ"หลังจากที่ออกภาพยนตร์ที่คนชื่อซ้ำกับคนอื่น นี้ แต่ไม่ยากที่ BMW และพวกเขาได้งดเว้นจากการตำหนิ ดูเหมือนว่าแม้แต่กด British ไม่มากกระตือรือร้นเกี่ยวกับ Rover

BMW เริ่มผลิตนอกประเทศเยอรมนีในปี 1994 โรงงานใหม่ที่ทำใน South Carolina และวันนี้ยังผลิต BMW X5 และ BMW Z4 ทำมี มีโรงงานในสถานที่อื่น ๆ บางอย่างก็เป็นเช่น Oxford, Goodwood และอื่นๆ หลังจากเวลาในการชุมนุม BMW เริ่มผลิตในแอฟริกาใต้ ส่งออกวันนี้ BMW กว่า 50 000 3 คัน Series ปีญี่ปุ่น, อเมริกา, แอฟริกา, ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง

เพื่อรองรับตลาดในยุโรป ตะวันออกและตะวันออกกลาง BMW วางแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใหม่หรืออยู่ในไซปรัสกรีซ พืชใน Chennai, อินเดียแล้วเปิดการผลิตในปี 2007


โดยปกติแล้วรถยนต์ BMW จะมีการบอกรุ่น และ รหัสต่างๆไว้ที่ด้านท้ายของรถตรงตำแหน่งด้านขวาของฝากระโปรงท้าย ยกตัวอย่าง เช่น 318iA, 523iA, X5 4.4 เป็นต้นซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะบอกถึง ซีรี่ย์ของรถ และขนาดเครื่องยนต์ไว้ซึ่งเราสามารถแยกแยะ ได้ดังนี้

ในกรณีที่บอกเป็นตัวเลข 3 หลัก เช่น 318iA เป็นต้น

- ตัวเลขตัวแรกจะบอก ซีรี่ย์ของรถ เช่น 3 ก็จะหมายถึงซีรี่ย์ 3 ซึ่งในปัจจุบันจะมีใช้อยู่ก็คือ ซีรี่ย์ 3, ซีรี่ย์ 5, ซีรี่ย์ 7, ซีรี่ย์ 8 (หมดการผลิตรุ่นปัจจุบันไปแล้วคาดว่าจะมีรุ่นใหม่ในอนาคต), ซีรี่ย์ 6 (ตอนนี้ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่อีกไม่นานคาดว่าจะเปิดตัว โดยโครงสร้างหลักจะเป็นรถต้นแบบ Z9) และ ซีรี่ย์ 1 ซึ่งจะเปิดตัวในอนาคต


- ตัวเลข 2 ตัวหลังจะบอกขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ เช่น 18 ก็จะหมายถึง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เป็นต้น แต่ตัวเลขนี้อาจจะไม่ตรงกับ ขนาดเครื่องยนต์ที่แท้จริงนัก เนื่องจากหลังๆ BMW มักจะเพิ่มขนาดเครื่องจนสูงกว่าตัวเลขนี้ไปเช่น 318i E46 ก็จะมีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร หรือตัว minorchange ก็จะเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เป็นต้น

- รหัสตัวอักษรข้างหลังจะบอกรายละเอียดอื่นๆ ดังนี้
 
S = Sport Model    ใช้กับรุ่นสปอร์ท หรือ 2 ประตู เช่น 318is(รุ่นหลังๆจะใช้ C)
 
E = Economy engine    มาจากภาษากรีก "eta" ซึ่งมีความหมายว่า "Efficiency" ใช้กับรุ่น 325e และ 528e
 
T = Turbocharger engine    ถ้าใช้ t ตัวเดียวหมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล

ถ้าเป็น td หมายถึง turbodiesel

ถ้าเป็น tds หมายถึง Intercooled turbodiesel
 
T = Touring    รุ่นหลังๆ t จะหมายถึงรุ่น touring ที่เป็นตัวถังแบบ Wagon
 
X = All wheel drive model    ใช้กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรุ่น E30 ใช้เป็น ix ส่วนในรุ่นใหม่ E46 ใช้เป็น xi
 
L = Long wheel base model    ใช้กับรุ่นฐานล้อยาวในซีรี่ย์ 7 บางครั้งใช้นำหน้าเช่น L7 ซึ่งนอกจากฐาน ล้อยาวแล้ว ยังเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษด้วย (Luxury)
 
C or CS = Coupe    ใช้กับรุ่น 2 ประตู บางครั้งใช้ร่วมกับตัว S เช่น CS Coupe sport
 
A = Automatic transmission    ใช้กับรุ่นที่เป็น เกียร์ออโตเมติก
 
SE = Special edition    รุ่นพิเศษ ในบ้านเรา เช่น 318iASE เป็นต้น
           
นอกจากนี้ ยังมีรถรุ่นอื่นๆที่ไม่ได้ใช้เลข 3หลักบอกซีรี่ย์อีกเช่น Z3, Z8, Z9, X5, และตัวแรงรหัส M3 และ M5 ซึ่งในบางรุ่นจะ บอกขนากเครื่องยนต์ไว้ต่อท้าย เช่น Z3 1.8i, X5 3.0i หรือ 4.4i เป็นต้น
     
ส่วนรหัส M ก็จะหมายถึง Motorsport โดยเริ่มจาก M1 และตัวที่โด่งดังที่สุดคือ M3 นอกจากนี้ก็มี M5 และ M6
     
ต่อจากรุ่นก็เป็นรหัสตัวถัง รหัสตัวถังในรุ่นใหม่จะใช้ E นำหน้า ปกติแล้วใช้เป็นการภายในของ BMW เองแต่กลับแพร่ หลายออกมาจนคนทั่วไปก็นำมาเรียกขานกัน ในบางรุ่นจะมีรหัสพิเศษต่อท้ายอีก แต่คงไม่ได้นำมาพูดถึง เช่น รหัส E36/7 จะหมายถึง Z3 ตัวปัจจุบัน เป็นต้น

ที่มา http://www.bmwworld.com

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับรถยนต์


เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับรถยนต์

รวมบทความเวปน่าสนใจครับ ความรู้ทั้งนั้นครับพี่น้อง
เกี่ยวกับสุขภาพ
ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้า เพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่าย ๆ ได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่า หรือปลากะพงอบ ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก คุณอาจซื้ออาหาร หรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช  ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม
เกี่ยวกับการทำเงิน
refund : money that the government gives back to you when you pay too much in taxes, or have withheld too much from your salary.
หมายถึง เงินคืนภาษี ซึ่งเกิดจากการคำนวณภาษีในรอบสุดท้ายของปีภาษีนั้นแล้วพบว่า ภาษีที่เราได้เสียหรือถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนในระหว่างปีนั้นสูงกว่าข้อกำหนด ซึ่งทางสรรพากรก็จะต้องทำการคืนเงินในส่วนต่างนั้นให้เรา
เกี่ยวกับสมุนไพรไทย
จากวันเวลาอันยาวนานที่ได้ผ่านมาในการทำธุรกิจสิ่งที่ทุกคนในตระกูลเวชพงศายึดมั่นตลอดมาคือคำสั่งสอนของ อากง (นายอิ้วเจีย) ที่ว่าอาชีพค้ายานั้นเป็นกิจการที่ช่วยให้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้อย่างพอกินพอใช้ เปรียบเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่อย่าหวังร่ำรวยมากมาย ข้อสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์และจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ผู้ที่มาหาซื้อยาไปรักษาโรคนั้นก็มีความทุกข์ยากอยู่แล้ว อย่าซ้ำเติมโดยการค้ายาปลอมหรือหากำไรเกินควรจากคนเหล่านั้นเลย
เกี่ยวกับรถยนต์ รถรุ่นใหม่ ปัญหารถยนต์ครับ
หน้าที่หลัก 4 ประการของยางรถยนต์
1. รับน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุก
2. ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน
3. เป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน
4. ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามความประสงค์
เวปทั่วๆไปน่าสนใจ
คอมพิวเตอร์ IT tablet os
http://computernews.orgfree.com/

เกี่ยวกับมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
http://thaiphone5.orgfree.com/

ขนมหวานไทย
http://kanomvanthai.orgfree.com/

ประเพณีไทย
http://papaneethaibolan.orgfree.com/

การเงินการลงทุน
http://valueinvestor.orgfree.com/