บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน


ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับรถยนต์ "ฮอนด้า แจ๊ส ไฮบริด" (Honda Jazz Hybrid) หลังจากที่ปล่อยให้คนที่กำลังมองหารถที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของการประหยัดน้ำมันต้องรอคอยมานาน โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่ทันสมัยเข้ากับชีวิตของคนยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งผลิตออกมาเพียงรุ่นเดียว ในราคาเปิดตัวที่ 768,000 บาท

Honda Jazz Hybrid

          โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว "Jazz Hybrid" IMA รุ่นแรกของกลุ่มซับคอมแพคท์ในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว โดดเด่นอย่างมีสไตล์ ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ สีเงินอลาบาสเตอร์ สีเขียวเฟรชไลม์ และสีฟ้าเซรูเลียน
Honda Jazz Hybrid


          สำหรับ Honda Jazz Hybrid รุ่นใหม่นี้ นับว่าเป็นรถยนต์ซิตี้คาร์ไฮบริดรุ่นแรกของโลก และเป็นเครื่องยนต์เบนซินไฟฟ้าที่เล็กที่สุดของ Honda โดยมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร i-vtec และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ และขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ CVT สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 12.6 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง

          ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 4.5 ลิตร/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐานยุโรป เช่นเดียวกับตัวเลขของรุ่น Insight แต่ Jazz Hybrid มีอัตราการปล่อยมลพิษ 104 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งสูงกว่าของ Insight เพียงเล็กน้อย

Honda Jazz Hybrid

          นอกจากเรื่องของเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ให้ Jazz Hybrid ต่างจาก Honda Jazz รุ่นอื่น ๆ อยู่ที่การปรับแต่งเรื่องของดีไซน์ตัวรถที่เพิ่มความทันสมัยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าโครเมี่ยม ไฟท้าย และกันชนหน้า-หลัง เป็นต้น


         
          ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่าราคาเปิดตัวของ Jazz Hybrid รุ่นนี้ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 768,000 บาท ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่กำลังมองหารถใหม่อยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คงจะมีการประกาศราคาที่แน่นอนออกมาให้ทราบกันในเร็ว ๆ นี้ ยังไงก็ลองติดตามข่าวกันต่อไปนะครับ

ข่าวจาก kapook.com คลิปจาก youtube

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV รุ่นใหม่ล่าสุด


  แม้จะเปิดตัวขายในญี่ปุ่นไปแล้วสำหรับ “ ฟอเรสเตอร์ “ รุ่นใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 และขณะนี้กำลังยืนอวดโฉมอยู่ที่งาน “แอลเอ มอเตอร์โชว์ 2012” สำหรับตลาดในเอเชียซูบารุเลือกประเทศไต้หวัน (วันที่ 5 ธ.ค.) เปิดตัว ฟอร์เรสเตอร์ รุ่นใหม่


     
       ฟอเรสเตอร์ ใหม่ เปลี่ยนบุคลิกมาเป็น SUV อย่างเต็มตัว พร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบและสไตล์ของตัวรถมาเป็นแบบยกสูง และเน้นความบึกบึน แต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของสมรรถนะในการขับขี่ โดยรุ่นใหม่มากับตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร



       รุ่นนี้มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่นธรรมดา มีกำลังสูงสุด 148 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที และรุ่นเทอร์โบที่ใช้ระบบ Di หรือ Direct Injection และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เข้าไป ซึ่งรีดกำลังออกมาได้ 280 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที เลือกส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ที่ซูบารุเรียกว่า Lineartronic หรือจะเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะก็ได้
     
       ส่วนระบบขับเคลื่อนมีแบบเดียวเป็นแบบ AWD หรือ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมโหมดที่เรียกว่า X-Mode ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับบนถนนที่ลื่น หรือบนเส้นทางออฟโรดที่วิบากในระดับหนึ่ง ซึ่งในระบบนี้จะมีการติดตั้งระบบ HDC หรือ Hill Descent Control ทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำมาก จนเกือบจะเป็น Walking Speed ในการลงทางลาดชันมากๆ เพื่อความปลอดภัย



       ฟอเรสเตอร์เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวในปี 1997 และได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยอิงพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์อย่างอิมเพรซา แต่สามารถตอบสนองความอเนกประสงค์ด้วยตัวถังในสไตล์กึ่งๆ แวกอน และไม่ได้ยกสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ SUV ที่อยู่ในตลาด ซึ่งทางซูบารุใช้แนวทางนี้ในการทำตลาดให้กับ 2 รุ่นแรกจนได้รับการตอบรับที่ดี
     
       แม้รูปลักษณ์และแนวคิดของตัวรถจะถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 แต่ทว่าซูบารุก็ยังคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ร้อนแรงเอาไว้ให้กับฟอเรสเตอร์ ในรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มากับเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกใหม่ที่มีกำลังสูงถึง 280 แรงม้าเลยทีเดียว
     
       ค่าตัวของฟอเรสเตอร์ใหม่ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,089,500-2,936,800 เยน หรือราวๆ 850,000-1,100,000 บาท ส่วนบ้านเรามีขายแน่ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปีหน้าราคารุ่นเริ่มต้นประมาณ 1.9 ล้านบาท

บทความจาก ผู้จัดการ คลิปจาก youtube

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก


รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก



อันดับ 10 Jarguar XJ

 ราคาจิ๊บๆ สำหรับเศรษฐี เริ่มต้นที่ตัวเลข 12.2 ล้านบาท สำหรับ ยานยนต์สัญชาติอังกฤษคันนี้ ที่พกความหรูหรามาแบบเต็มคราบ กับความงามที่ยากจะหาใครเทียบเคียง แม้จะงานขนาดนี้แต่ก็แรงใช่เล่นกับ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ให้กำลัง 385 แรงม้า จับคู่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

 อันดับที่ 9 Lexus LS 460

 ขยับขึ้นมาเป็นค่ายพรีเมี่ยมแบรนด์จากรถยนต์คนไทยชอบ นำเสนอรถยนต์ Lexus 460 มาให้เราได้สัมผัสกัน ในเส้นสายความปราณีตที่หาที่สุดไม่ได้ไฟหน้ามาพร้อมไฟแบบ LED 8 ดวง ใต้ฝากระโปรง เน้นหนักในเรื่องของความแรงแบบเปี่ยมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ V8 4.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า เร่ง 0-100 ก.ม./ ช.ม. ทันใจเพียง 5.7 วินาที ส่วนเรื่องความหรูหายห่วงเพราะนี่เป็นรุ่นใหญ่ของค่าย เคาะราคาขายแค่ 12.8 ล้านบาท

 อันดับที่ 8 Porsche 911 Carrera S

 จากหรูมาดูสปอร์ตกันบ้างกับค่ายรถยนต์ชั้นนำ อีกหนึ่งที่มาพร้อมการนำสเนอสมรรถนะระดับซุปเปอร์ ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน กับเอกลักษณ์ หน้ากบของค่ายรถยนต์ Porsche ที่จัดการยกเครื่องตั้งแต่โครงสร้างอลูมิเนียมใหม่ ให้เบาหวิวบวกระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 100 ม.ม. และยังลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิเสียดทานเพียง 0.29 Cd แต่ที่ขับสนุกจริงเป็นเครื่องยนต์แบบ Flat 6 3.8 ลิตร ให้กำลัง 400 แรงม้า เร่งสะใจ 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน เวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนราคาก็แรงพอกับความเร็ว จัดไป 16 ล้านบาทเท่านั้น

 อันดับที่ 7 Bentley Continental GT



ชื่อนี้เรียกว่าทั้งหรูและแรง สำหรับรถยนต์ Bentley รถจากแดนผู้ดีที่ระห่ำได้ใจจากเวอร์ชั่นหรู สู่เวอร์ชั่นทั้งหรูและแรงกว่าทั่วไป พกเครื่องยนต์ V8 ให้กำลัง 500 แรงม้า พร้อมทะยานความหรูแบบสะใจ จนซุปเปอร์คาร์ต้องเหลียวหลังกับตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 5 วินาทีกว่า ความเร็วปลายก็ทำได้ดีไม่แพ้กันถ้ากล้าเหยีบก็ทำได้ 290 ก.ม./ช.ม. แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้คุณต้องจ่ายราคา 18.9 ล้านบาทเป็นค่าตัว


อันดับที่ 6 Lamborghini Gallardo LP560- Spider

 เจ้ากระทิงดุค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์เป็นที่รู้จักกันดีเริ่มต้นด้วยอันดับ6 ในการรับลมชมวิวแบบสปอร์ตพันธุ์แท้ในสไตล์ Spyder ที่คัดสรรวัสดุเกรดดี เรียกว่าไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความแรง ส่วนเจ้าตัวนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 ก.ม./ช.ม. มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมพลัง 560 แรงม้า แต่ราคาก็แรงตามรถ เคาะขายที่ 23.5 ล้านบาท

 อันดับที่ 5 Lamborghini Gallardo LP 570-4 Superleggera



กระทิงดุอีกคันจากงานมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ค่ายรถยนต์เจ้านี้ภูมิใจนำเสนอความแรงเต็มพิกัด กับ 570 แรงม้า ที่ฟังดูไม่ต่างจากอันดับที่ 6 ของเรา แต่ มันเจ๋งกว่า เมื่อคุณรู้ว่าพลังทั้งหมดของมันแบกน้ำหนักเพียง 1340 ก.ก. ทำตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที แต่ราคาก็อัพไปอีก ถ้าอยากได้หยอดกระปุกเอาไว้ให้ได้ 25.5 ล้านบาทแล้วมาว่ากันอีกที



อันดับที่ 4 Rolls-Royce Ghost Extended Wheelbase



ในที่สุดมันก็มาโผล่ที่ไทย สำหรับค่ายถยนต์พันธุ์หรูตัวจริงเสียงจริงในนาม Rolls-Royceแม้แต่เศรษฐีกระเป๋าตุง อาเสี่ยกระเป๋าหนักยังมีร้องจ้าก!! เมื่อเจอราคา โดยในรุ่นนี้ที่ภูมิใจนำเสนอ มันมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร ปั่นฝีเท้าด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า และขับสนุกด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8สปีด เคาะราคาจนตัวคุณเบาหวิวเมื่อควักเงินจ่ายที่ 27.9 ล้านบาท



อันดับที่ 3 Bentley Mulsanne 2012



อีกคันจากค่ายรถยนต์ Bentley ให้ความหรูหราระดับที่คุณต้องประทับใจ แต่ความประทับใจนี้ต้องใช้เงินถึง 33.6 ล้านบาท จึงจะได้สัมผัส พระราชวังที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ประณีตสุดๆในการออกแบบ และการเลือกวัสดุชั้นดี โดยทั้งหมดไม่ได้เน้นเรื่องแรงมาก แต่ก็จัดขุมพลัง V8 6.8 ลิตร ให้กำลัง 505 แรงม้า พร้อมอภิมหาแรงบิด 1,020 นิวตันเมตร และแม้รถคันนี้ จะหรูหราแต่ความเร็วปลายก็ยังซิ่งได้ถึง 296 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 2 Lamborghini Aventador LP700-4


เป็นที่ฮากันทั้งโลกไซเบอร์กับชื่อรถคันนี้ ที่มีฝรั่ง แกะคำของค่ายกระทิงดุว่า A Vent และ A door กลายมาเป็นชื่อของรถคันนี้ จริงๆนั่นก็เป็นมุกตลกขำๆ แต่จะไม่ขำ ถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ที่มีราคาค่าตัวกว่า 36.5 ล้านบาท แรงสั่งได้จากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า ขับสนุกด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เร่งแรงถึงใจ 0-100 ก.ม. ใน 2.9 วินาที และทำความเร็วสุงสุด 350 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 1 Rolls-Royce Phatom Drophead Coupe



รถหรูสำหรับท่านผู้นำก็ต้องคันนี้ ที่ไม่รู้ท่านผู้นำเราได้ไปเหมามาเข้าคอลเลคชั่นหรูรึปล่า แต่รถคันนี้คือที่สุดแห่งที่สุดความหรู และแพงในงานมอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยราคา 37.9 ล้านบาท มาในแบบรถคูเป้อาจดูเหมือนสปอร์ต แต่ที่นั่งแบบ 2 +2 มาพร้อม 4ประตู ที่ใต้ฝากระโปรงพกเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.75 ลิตร ตอบสนองกำลังสูงสุด 453 แรงม้า ให้แรงบิด 720 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ใน 6 วินาที ฟังดูมันอาจจะไม่แรงนัก แต่ถ้าเรื่องหรู คงต้องยกให้ไปเลย

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Hyundai H-1 Deluxe น่าใชหรือเปล่า

 Hyundai H-1 Deluxe น่าใชหรือเปล่า


ฮุนได H-1 ถือได้ว่าเป็นรถธงจากแดนกิมจิ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยโกยยอดขายแบบถล่มทลายจากรุ่นแรก มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน และล่าสุด ฮุนได ได้เผยโฉม The New Hyundai H-1 Series 2012 ที่มาพร้อมกับความหรูหรา สมรรถนะที่โดดเด่น และความประหยัดอย่างเหนือชั้น



The New Hyundai H-1 Series 2012 ได้รับการปรับแต่งให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 392 นิวตันเมตร เป็น 441 นิวตันเมตร ในรุ่น H-1 Deluxe และ H-1 Executive เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ H-1 Touring เกียร์ธรรมดา ก็ได้รับการปรับแต่งในเรื่องของสเปกให้เหมาะกับการใช้งานที่หนัก แต่เน้นการประหยัดที่มากขึ้น




สำหรับ H-1 ที่ผู้เขียนได้นำมาทดสอบคือ H-1 Deluxe เครื่องยนต์ดีเซล 2,500 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สัมผัสแรกที่เห็นต้องยอมรับว่ารูปโฉมมีความล้ำสมัย สวยงามไม่แพ้แบรนด์จากญี่ปุ่น หรือยุโรป กันเลยทีเดียว กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม พร้อมชุดแต่งด้านข้างรอบคัน กันชนหน้า-หลังสีทูโทน พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 ช่วยให้มองเห็นได้ในระยะไกล ขณะที่ภายในเลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม



คอนโซลและสีภายในเป็นสีเบจทูโทน พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมหัวเกียร์ตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัล แผงปรับอากาศสีเมทัลพร้อมลายไม้ แยกการควบคุมหน้า-หลัง เบาะนั่งหนังแท้ มีทั้งหมด 12 ที่นั่ง โดยแถวที่สองสามารถหมุนได้ แถวที่สามและสี่ปรับเอนและเลื่อนได้ นอกจากนี้แถวที่สี่ยังสามารถพับเก็บได้เมื่อต้องการบรรทุกสิ่งของ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้ครบครัน อาทิ ประตูห้องโดยสารเปิดสไลด์สองข้าง พร้อมกระจกแบบเลื่อนได้ และกล้องมองภาพด้านหลัง พร้อมเส้นกะระยะ เป็นต้น



ช่วงการทดสอบ ผู้เขียนพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกัน 6 คน ไปพักผ่อนต่างจังหวัด การขับขี่ในเมืองถึงแม้ว่าจะเป็นรถเอ็มพีวีขนาดใหญ่ แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ ที่ปรับแต่งให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างไหลลื่น ไม่อืดอาดเหมือนรถในเซ็กเมนท์เดียวกัน ในบางเวลาถึงแม้ว่ารถจะติด ก็ไม่ทำให้น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะสามารถดูหนัง ฟังเพลงผ่านจอ LCD ที่ติดเพดานห้องโดยสารได้ ขณะที่การขับขี่นอกเมืองให้ความคล่องตัวดี เบาะนั่ง



หนังแท้ นั่งสบายทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารก็ตาม ระบบปรับอากาศแยกหน้า-หลัง ให้ความเย็นได้อย่างทั่วถึง

ระบบช่วงล่างของ H-1 Deluxe ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังคอยล์สปริง พร้อมแขนยึด 5 จุด ให้การยึดเกาะถนนได้ดี เวลาขับขี่เข้าโค้ง ไม่มีอาการโยนแม้แต่นิดเดียว ขณะที่พวงมาลัยเพาเวอร์ก็ช่วยให้การขับขี่สะดวกมากขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอยเป็นแบบสปอร์ต มาพร้อมกับยางขนาด 215/70 R16 ก็เหมาะสมกับตัวรถได้ดี


ด้านความปลอดภัยมั่นใจได้ นอกจากจะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก ABS พร้อมดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อแล้ว ฮุนไดยังมีจุดเด่นในเรื่องแชสซีที่มีความหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะฮุนไดเป็นบริษัทผลิตรถยนต์เบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่มีโรงงานถลุงเหล็กเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเลือกใช้วัสดุที่ดีแต่มีราคาถูกได้

สรุปแล้ว H-1 Deluxe ถือได้ว่าเป็นรถยนต์เอ็มพีวีหรู ระดับพรีเมียม ที่มีจุดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งราคาที่ดึงดูดใจเพียง 1,524,000 บาท น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

 ที่มา เเนวหน้า

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

TOYOTA AURIS 2013 รุ่นใหม่สวยกว่าเดิม

TOYOTA AURIS 2013 รุ่นใหม่สวยกว่าเดิม


  ทางด้านโตโยต้า (Toyota) บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้เผยภาพรถรุ่นใหม่ล่าสุดของ "โตโยต้า ออริส 2013" (Toyota Auris 2013)




ออกมาให้สาวกโตโยต้าทั้งหลายได้ชื่นชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการนำมาให้ชมก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในงาน 2012 Paris Motor Show ที่ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

TOYOTA AURIS

          สำหรับนิว โตโยต้า ออริสนี้ รูปลักษณ์นั้นจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับ โตโยต้า โคโรลล่า (Toyota Corolla) โดยเป็นรถยนต์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ที่ปรับแต่งส่วนหน้าและท้ายของรถให้ดูเฉียบคมมากยิ่งขึ้น โดยตัวถังรถยาว 4,275 มิลลิเมตร ขนาดกว้าง 1,760 มิลลิเมตร และสูง 1,460 มิลลิเมตร ซึ่งตัวรถยาวกว่ายาริสรุ่นปัจจุบัน 30 มิลลิเมตร แต่โหลดต่ำกว่าเดิม 55 มิลลิเมตร และต่ำกว่ารถยนต์แทบทุกคันในปัจจุบัน  มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.28 และน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบัน 40 กิโลกรัม

TOYOTA AURIS

          ด้านสมรรถนะการขับเคลื่อน มีเครื่องยนต์แบบเบนซินขนาด 1.3 และ 1.6 ลิตร เครื่องยนต์แบบดีเซลขนาด 1.4 ลิตร และมีเครื่องยนต์แบบไฮบริดที่ผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กำลังจากแบตเตอรี่นิเกิลเมทัลไฮดราย (Ni-Mh Battery) ส่วนภายในห้องโดยสารได้มีการปรับปรุงใหม่แทบทุกจุด ซึ่งใช้วัสดุคุณภาพสูงและออกแบบได้สวยงามดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตูที่อ่อนนุ่มถนอมมือ พนักพักแขนอย่างดี เบาะและคอนโซลผ้าซาตินสีเงินเงางาม เป็นต้น พร้อมกับที่นั่งและที่วางขาที่กว้างขวางกว่าเดิมทำให้นั่งได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย

TOYOTA AURIS

          ในส่วนของคุณสมบัติรถและรายละเอียดด้านอื่น เช่น อัตราเร่ง ความเร็ว แรงบิด  รวมไปถึงราคาของโตโยต้า ออริสนั้น ทางโตโยต้าเองยังไม่ได้มีการเผยรายละเอียดแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าคงจะได้ทราบพร้อมกันในงาน 2012 Paris Motor Show อย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

All New Isuzu D-MAX ความคุ้มค่าราคา

 All New Isuzu D-MAX ความคุ้มค่าราคา

 อีซูซุเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" เริ่มวางจำหน่าย 14 ตุลาคมนี้




          เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด ได้เปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" (the All-new Isuzu D-Max) ที่เป็นการพลิกโฉมหน้าปิกอัพรุ่นใหม่ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยียานล้ำสมัย ความเร็วประหนึ่งรถไฟหัวกระสุน กำหนดมาตรฐานใหม่ อีกทั้งคิดค้นและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถปิกอัพทั่วโลกอย่างแท้จริง



          โดยคนไทยจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่นี้ก่อนประเทศใดในโลก ที่ซึ่งมีการเปิดตัว The All New Isuzu D-MAX ในรอบสื่อมวลชนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ 14 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป สนนราคาเริ่มต้น รุ่นสปาร์ค ตอนเดียว ราคา 465,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป วี-ครอส 4 ประตู ราคา 994,000บาท


งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

คุณสมบัติพิเศษของอีซูซุดีแมคซ์ใหม่
 รูปลักษณ์ภายนอก
          สำหรับอีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่นั้น มาพร้อมกับรูปลักษณ์แนวสปอร์ต มีการดีไซน์ด้านหน้าให้เป็นแบบสามมิติ เพิ่มความชัดในการมองเห็น มีไฟหน้าขนาดใหญ่ และไฟท้ายแบบ LED ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการรถกระบะที่มีการนำเอาไฟแบบ LED มาใช้ และตัวถังแค็ปเปิดได้
 ห้องโดยสาร
          เป็นการดีไซน์แบบ "DELUXE CAPSULE" ผสานกับ "UNIVERSAL DESIGN" ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ สะดวกสบายเหมาะสมกับทุกสรีระ ส่วนเบาะนั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
 แผงหน้าปัด
          ดีไซน์แผงหน้าปัดขนาดใหญ่แบบ Super Vision ที่แสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ แถมยังมีโหมดภาษาไทยให้เลือกด้วย ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว และปรับความสว่างได้อัตโนมัติ
 ระบบเสียง
          ติดตั้งระบบเสียงเป็นแบบ "SURROUND SOUND" สูงสุดถึง 8 ลำโพง มีลำโพงคู่หน้าขนาดใหญ่พิเศษ FULL-SIZE 6x9 นิ้ว และลำโพง EXCITER ติดตั้งบนเพดาน ช่วยให้เสียงสมจริงทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับเสียงโดยอัตโนมัติตามความเร็วของรถ

Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max
 เครื่องยนต์

          สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ 2500 Ddi VGS TURBO หรือเทอร์โบแปรผัน สามารถรีดกำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์  2500 Ddi TURBO รีดกำลังสูงสุดได้ 116 แรงม้าเท่าเดิม และหากเป็นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS TURBO จะให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที

 เกียร์
          ปรับเกียร์ใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม "REV-TRONIC" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบ "SPORT-SHIFT" ช่วยให้เข้าเกียร์ง่ายจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไหลลื่น

 ล้อและช่วงล่าง
          ขยายฐานและความกว้างของล้อให้ใหญ่ขึ้น กระจายน้ำหนักได้สมดุลขึ้น ด้วยการจัดตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องหลังล้อคู่หน้า พร้อมแชสซีส์ขนาดใหญ่ในรถระดับเดียวกัน ส่วนช่วงล่างได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยส์สปริง และแหนบขนาดยาวพิเศษในช่วงล่างหลัง เพื่อให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น

 ระบบความปลอดภัย
          มั่นใจได้ด้วยระบบความปลอดภัยแบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ด้วยเบรก ABS พร้อม EBD และ BA นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ประกอบกับหม้อลมเบรกขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อม TIED-BAR ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์แบบลูกสูบคู่

          ที่สำคัญ อีซูซุดีแมคซ์โฉมใหม่ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบป้องกันขณะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบเหล็กกล้า ที่ผลิตจากเหล็กหนาพิเศษ และตัวถังแบบซูเปอร์ สเปซแค็บ (SUPER SPACECAB) บานแค็บเปิดได้ (ตู้กับข้าว)
 อื่น ๆ
          - แกนพวงมาลัย และแป้นเบรกแบบยุบตัวได้
          - เข็มขัดนิรภัยมีกลไกดึงกลับอัตโนมัติ
          - มีระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ซึ่งจะทำงานทันที เมื่อรถวิ่งได้ความเร็วประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
          - ระบบป้องกันกระจกหนีบ (WINDOW JAM PROTECTION) ด้านคนขับ
          - เทคโนโลยี "ISUZU INSIGHT" ช่วยประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่แบบเฉพาะตัว ทำให้การขับขี่ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น

ที่มา kapook

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Honda Fit Twist สเปค ราคา ความคุ้มค่า


Honda Fit Twist สเปค ราคา ความคุ้มค่า

นอกจากการทำตลาดในแบบรถจ่ายกับข้าวด้วยตัวถังทรงกล่องในสไตล์ซับคอมแพ็กต์แล้ว ฮอนด้าเองยังเปิดแนวรุกใหม่ให้กับรถยนต์ยอดนิยมอย่างฟิต หรือแจ๊ซในบ้านเรา ด้วยการผลิตรุ่นยกสูงเน้นความบึกบึนในชื่อ ทวิสต์ ออกมาอีกด้วย


     
       ฟิต ทวิสต์ ถือเป็นรถยนต์ของฮอนด้ารุ่นแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นโมเดลใหม่เพื่อสเป็กสำหรับบราซิลโดยเฉพาะ และถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานเซา เปาโล มอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยรูปลักษณ์และหน้าตาที่เน้นความบึกบึน และพร้อมลุยทางวิบากได้ในระดับหนึ่ง


     
       ตัวรถยังคงใช้พื้นฐานเดียวกับฟิต/แจ๊ซ โมเดลที่ขายอยู่ในปัจจุบัน แต่มีการเพิ่มสัมผัสแห่งความแตกต่างด้วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ลุยได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในใช้พลาสติกสีดำคลุมตามบริเวณซุ้มล้อทั้ง 4 ด้าน และการออกแบบกันชนหน้าใหม่ เพื่อให้ดูแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังมีล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และเสริมรูฟแร็คติดมาให้จากโรงงานเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน




       สำหรับภายในห้องโดยสารยังคงใช้รายละเอียดหลักเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ติดขอบโครเมียมที่ช่องแอร์ แผงหน้าปัด และเบรกมือ รวมถึงการใช้วัสดุที่กันน้ำ และล้างทำความสะอาดได้ง่ายเพื่อรองรับกับการใช้งานที่อาจจะต้องมีเลอะโคลนกันบ้าง
     
       เครื่องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนยังเป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 1,500 ซีซี 116 แรงม้า ที่มีการปรับสเปกให้เป็น Flex-Fuel สามารถรองรับกับการใช้เชื้อเพลิงแบบ E100 ซึ่งเป็นที่นิยมในบราซิลได้ แต่ถ้าจะแล่นโดยใช้น้ำมันเบนซินเพียวๆ ก็ได้ จะสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 115 แรงม้า และมีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
     
       ในบราซิลเริ่มทำตลาดช่วงต้นเดือนหน้ากับราคา 28,600 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 858,000 บาท แพงกว่าฟิตธรรมดาร่วมๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 150,000 บาท
     
       อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่รู้ว่าจะมีการส่งออกมาลุยตลาดแห่งอื่นด้วยหรือเปล่า เพราะจริงอยู่ที่ข่าวระบุว่าพัฒนามาเพื่อตลาดบราซิล แต่ไม่แน่ถ้าเกิดฮิตขึ้นมา อาจจะมีการส่งขายในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็ได้

บทความ จากผู้จัดการ คลิปจาก youtube
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130536

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การติดฟิล์มกรองแสงมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

การติดฟิล์มกรองแสงมีข้อดีข้อเสียอย่างไร


การติดฟิล์มกรองแสงแบบบานหน้าเต็มบานมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
การติดฟิล์มกรองแสงแบบบานหน้าเต็มบานจะช่วย

ลดความร้อนที่เข้ามาทางกระจกด้านหน้าของรถยนต์
ลดแสงที่จ้าในเวลากลางวัน

กรณีกระจกเกิดแตกขณะขับขี่หรือถูกสะเก็ดหินฟิล์มกรองแสงจะช่วยยึดเศษกระจกไม่ให้แตกกระจาย คือ เศษกระจกแทนที่จะกระเด็นเข้ามาภายในโดยเศษกระจกอาจจะทำอันตรายหรือกระเด็นเข้าตาได้
อย่างไรก็ตาม การติดฟิล์มแบบบานหน้าเต็มนั้นไม่ควรใช้ฟิล์มที่มีความเข้มมากจนเกินไป เพราะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่เวลากลางคืนไม่ดี และอาจถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ควรติดฟิล์มที่มีค่าแสงส่องผ่านตั้งแต่ 50 % ขึ้นไป


ฟิล์มกรองแสง 40%, 60%, 80% มีความหมายว่าอย่างไร
เป็นตัวเลขที่เรียกความเข้มของฟิล์มกรองแสง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงในยุคแรกๆ ที่มีการจำหน่ายฟิล์มกรองแสงในประเทศไทย ซึ่งในยุคแรกๆ ฟิล์มกรองแสงที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้นจะมีไม่กี่เบอร์ คือ ประมาณ 3-4 เบอร์ เช่น เบอร์ 05, 20,35,50 ซึ่งเบอร์นั้นๆ ตามมาตรฐานสากลจะบ่งบอกถึงค่าที่แสงสามารถส่องผ่านได้ เช่น

เบอร์ 05 แสงสามารถส่องผ่านได้ 5% (ฟิล์มจะเข้ม 95%)
เบอร์ 20 แสงสามารถส่องผ่านได้ 20% (ฟิล์มจะมีความเข้ม 80%) เป็นต้น
ซึ่งในยุคแรกๆ ทั้งผู้บริโภคและร้านค้ายังไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าวจึงใช้การประมาณความเข้มของฟิล์มแทน เช่น เบอร์05 แสงผ่านได้ 5% ฟิล์มจะมีความเข้ม 95% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 80%, เบอร์ 20 แสงส่องผ่านได้ 20% ฟิล์มจะมีความเข้ม 80% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 60%, ฟิล์มเบอร์ 50 แสงส่องผ่านได้ 50% ฟิล์มจะมีความเข้ม 50% แต่เรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่า 40% ซึ่งการเรียกดังกล่าว ยังเข้าใจกันผิดๆ อยู่จนทุกวันนี้

      ฟิล์มประเภทโลหะจะมีหลายหลายความเข้มและหลากหลายความเงา ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงก็แทบจะไม่มีผล เพราะโดยปกติแล้วขอให้ท่านลองสังเกตดูกระจกรถบางคันก็สามารถสะท้อนแสงมาก ทั้งๆที่ไม่ได้ติดตั้งฟิล์มกรองแสงเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมุมในการสะท้อนก็จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน เช่น ช่วงเวลา มุมเอียงของกระจก ซึ่งมุมเอียงของกระจกนั้นจะยิ่งสังเกตได้ง่าย โดยถ้าขับรถตามหลังรถบางคันจะเห็นว่ามุมเอียงของกระจกจะไม่เท่ากัน และรถบางประเภทมุมของกระจกแทบจะตั้งฉากเสียด้วยซ้ำ สรุกคือแทบไม่มีผล ฟิล์มประเภทโลหะจะเพิ่มค่าความสะท้อนของแสงขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรเลือกใช้ฟิล์มที่มีความสะท้อนแสงที่มากเกินไป(ควรเลือกที่มีค่าไม่เกิน 35%)