บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับเครื่องเสียงรถยนต์ที่ควรรู้

ความรู้เกี่ยวกับเครื่องเสียงรถยนต์ที่ควรรู้


  สำหรับชุดเครื่องเสียงที่ใช้ฟังเพลง  ก็ควรเลือกที่ใช้สำหรับฟังเพลงเพียงอย่างเดียว  ประเภทดูหนังเผื่อไว้ด้วย  คอเพลงขนานแท้ท่านว่าที่สามารถดูหนังได้จะฟังเพลงไม่ไพเราะ  เสียงขาดความกังวาน  เนื่องจากต้องมีการทำงานในหลากหลายหน้าที่  และควรเลือกที่มีภาคปรีเอ้าท์สูงสักหน่อยอย่างต่ำๆก็ควรมีสัก  4  โวลท์  อนาคตต่อเพาเวอร์แอมป์สักเครื่อง  จะได้พละกำลังและคุณภาพเสียงที่ดี  ถ้าจะให้ดีควรมีขั้วต่อภาคปรีเอ้าท์  3  ชุด  สำหรับการต่อเพาเวอร์แอมป์ขับลำโพงชุดหน้าและชุดหลังพร้อมช่องซับวูฟเฟอร์เอ้าท์  เพื่อการใช้งานกับเพาเวอร์แอมป์ขับซับวฟเฟอร์โดยเฉพาะ  

      ความจำเป็นของปรีแอมป์  ถ้าในกรณีที่เลือกเฮดยูนิตคุณภาพดี  มีภาคปรีเอ้าท์แรงดันสูงหรือมีขั้วต่อครบสำหรับลำโพงชุดหน้า-หลังและซับวูฟเฟอร์  การเพิ่มปรีแอมป์ก็ไม่จำเป็นนัก  ยกเว้นเสียแต่ว่าอยากได้การปรับแต่เสียงตามใจชอบ  เพิ่มเสียงในช่วงความถี่ต่างๆ  หรือต้องการบุคลิกของปรีแอมป์มาช่วยเสริมคุณภาพเสียง  เช่น  ปรีแอมป์ที่มีหลอดร่วมทำงาน  อันนี้ก็ตามสะดวกใจ  แต่ในลำดับต้น  ควรเลือกฟร้อนท์ที่มีคุณภาพดีและทุ่มงบไปที่ฟร้อนท์ก่อนนึกถึงปรีแอมป์ครับ

     เพาเวอร์แอมป์  เลือกอย่างไร  ควรใช้เพาเวอร์แอมป์กี่แชนแนล  ระบบคลาสเอบี  คลาสดี  หรือว่าคลาสไหนเหมาะสมอย่างไร   ประเด็นแรกสุดคือดูความต้องการของระบบเสียงในรถ  ในกรณีที่มีลำโพงชุดหน้าและหลังก็ควรจะใช้เพาเวอร์แอมป์ 4  แชนแนล  สำหรับขับลำโพงชุดหน้าและหลัง  ถ้ามีลำโพงซับวูฟเฟอร์ร่วมด้วย  เพาเวอร์แอมป์  5  แชนแนลดูจะครบ  ตรงความต้องการมากกว่า  ทั้งสามารถขับลำโพงชุดหน้าและชุดหลังรวมถึงขับซับวูฟเฟอร์  แต่ในบางกรณีอาจใช้เพาเวอร์แอมป์  4  แชนแนล  โดยใช้ขับลำโพงคู่หน้าและบริดจ์เพื่อขับลำโพงซับวูฟเฟอร์  ลำโพงคู่หลังปล่อยให้เป็นหน้าที่สำหรับไฮเพาเวอร์จากฟร้อนท์  แต่อย่าลืมว่าการมีเพาเวอร์แอมป์แยกขับลำโพงหลายตัวก็จะดีกว่าในด้านพลังเสียงที่ได้



     เพาเวอร์แอมคลาสเอบีและคลาสดี  เทียบความแตกต่างกันในด้านบุคลิกเสียงจะพบว่า  คลาสเอบีส่วนใหญ่ให้เสียงได้ราบรื่นกว่า  มีการแยกน้ำหนักเสียงดังเบาได้เด่นชัดกว่า  สำหรับคลาสดีนั้น  ส่วนใหญ่ถูกสร้างมาให้ทำงานเฉพาะช่วงความถี่  โดยจะทำงานช่วงความถี่ต่ำสำหรับให้นำไปขับลำโพงซับวูฟเฟอร์โดยเฉพาะ  ในเรื่องเสียงให้พละกำลังได้มากกว่า  เหมาะสำหรับชุดเครื่องเสียงที่ต้องการพละกำลังจากเพาเวอร์แอมป์  สำหรับสร้างพลังเสียง  แต่ในเรื่องรายละเอียดและการแยกน้ำหนักเสียง  เพาเวอร์แอมป์คลาสเอบีสามารถทำได้ดีกว่า  อันนี้เทียบกันด้วยคุณภาพและราคาที่เท่าเทียมกันนะครับ

     ไบแอมป์-ไทรแอมป์  ชุดเครื่องเสียงใดมีเพาเวอร์แอมป์ในระบบมากกว่า  1  เครื่อง  ย่อมให้พลังเสียงที่มากกว่ามีเครื่องเดียว  การเล่นแบบไบแอมป์(แอมป์ 2 เครื่อง)หรือไทรแอมป์(แอมป์ 3 เครื่อง)  พลังเสียงที่ขับลำโพงก็จะยิ่งมากตามไปด้วย  พลังเสียงที่เพิ่มขึ้นมาจะช่วยแยกน้ำหนักเสียง  เพิ่มแรงปะทะ  รวมถึงสามารถขับลำโพงได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น  แต่การมีเพาเวอร์แอมป์มากกว่า  1  เครื่อง  จะต้องเพิ่มเงินในส่วนของค่าสายต่างๆ  ซึ่งอาจจะต้องลดคุณภาพและราคาของเพาเวอร์แอมป์เพื่อให้ได้ปริมาณดังที่ตั้งใจ  และการมีเพาเวอร์หลายเครื่อง  ส่งผลถึงการจูนเสียงที่ยากขึ้น  มีผลต่อสมดุลเสียง  การทุ่มงบไปกับเพาเวอร์แอมป์คุณภาพเพียงเครื่องเดียว  ย่อมเป็นทางออกที่ประหยัดและไม่ยุ่งยากในภายหลัง

     กำลังวัตต์จำเป็นไหมที่ต้องเลือกสูงๆ  ในเพาเวอร์แอมป์บางเครื่องบอกกำลังขับไว้สูงมาก  แต่ไม่ได้หมายความว่าเพาเวอร์แอมป์เครื่องนั้นจะให้ประสิทธิภาพ  พละกำลัง  แสดงรายละเอียดของเสียงออกมาได้อย่างดี  กับเพาเวอร์แอมป์บางเครื่อง  บอกกำลังขับไม่สูงนัก  แต่มีพลังผลักดันลำโพงให้ถ่ายทอดพลังและรายละเอียดเสียงได้อย่างมีคุณภาพที่ดี  กำลังวัตต์จึงไม่ใช่ตัวเลขสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อเพาเวอร์แอมป์สักเครื่อง  ให้พิจารณาไปที่คุณภาพการผลิต  ชิ้นส่วนในการผลิต  รวมถึงชื่อของผู้ผลิต  อันจะทำให้มั่นใจว่าได้สินค้าที่มีคุณภาพ  เหนือใดอื่นคือต้องลองฟังด้วยตนเอง

       ลำโพง  การเลือกลำโพงไม่ยากครับ  เพราะเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มองเห็นได้ชัดเจนแทบจะทุกสัดส่วน  แต่การเลือกลำโพงให้ได้คุณภาพที่ดี  คุ้มราคา  และถูกหูเมื่อฟัง  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใช้เพียงสายตาดูเลยละครับ

       ลำโพงมีหลากหลายรูปแบบ  รวมถึงหลาหลายวัสดุและกรรมวิธีที่ใช้การผลิต  คุณภาพเสียงที่ได้จึงแตกต่างกันไป  ลองมาดูว่าควรเลือกใช้ลำโพงแบบไหนในกรณีอย่างไร

       ลำโพงแกนร่วม  ลำโพงชนิดนี้ดอกลำโพงเสียงแหลมมักจะอยู่ร่วมเป็นชิ้นเดียวกับตัวดอกลำโพงเสียงกลางทุ้ม เรียกว่าไปติดตรงไหนไปด้วยกัน  แยกกันไม่ออก  อาจจะมีพาสซีพครอสโอเวอร์แยกมาให้หรือติดตั้งอยู่กับตัวดอกลำโพง  ขึ้นอยู่กับคุณภาพของลำโพงนั้นๆ  ส่วนมากเราใช้ลำโพงแกนร่วมสำหรับเป็นลำโพงคู่สำรองหรือคู่ที่ไม่ได้เน้นการฟังเพลง  เพียงแค่ต้องการเสียงเบาๆจากลำโพงนี้เท่านั้น  เช่น  ติดลำโพงคู่หน้าและคู่หลัง  เพื่อประหยัดงบประมาณก็สามารถติดลำโพงแกนร่วมด้านหลังได้  เนื่องจากไม่ได้เน้นคุณภาพเสียงเท่าคู่หน้า  ติดเพียงเพื่อให้สมาชิกที่นั่งหลังมีส่วนร่วมในการฟังเพลง      

        ลำโพงแยกชิ้น  2  ทาง  เป็นชุดลำโพงที่ได้รับความมิยมและเลือกใช้มากที่สุดในการเลือกเครื่องเสียงรถยนต์  เหตุเพราะว่ามีเพียงดอกลำโพงเสียงแหลมและเสียงกลางทุ้มอุปกรณ์น้อยชิ้นติดตั้งไม่ยุ่งยาก  มีให้เลือกฟังเลือกใช้งานหลากหลายยี่ห้อ  ตามคุณภาพและวัสดุที่ใช้ผลิต  ในการเลือกลำโพงนั้นจำเป็นที่สุดคือต้องลองฟัง  ลำโพงบางคู่ให้เสียงธรรมดาเมื่อขับด้วยเพาเวอร์เครื่องหนึ่ง  แต่จะให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมเมื่อขับด้วยเพาเวอร์แอมป์อีกยี่ห้อหนึ่ง  เพราะฉะนั้นท่านผู้อ่านลองฟังลำโพง  ควรลองฟังหลายหลายชุดสลับเปลี่ยนกัน  เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงเต็มประสิทธิภาพที่ลำโพงคู่หนึ่งจะให้ได้  และอย่าตัดสินลำโพงคู่นั้นด้วยการฟังเพียง  5  นาทีหรือแค่เพลงเดียว    

      ลำโพงแยกชิ้น  3  ทาง  กำลังมาแรงและเป็นที่ได้รับความนิยม  มากที่สุดที่เห็นคงจะเป็นในส่วนของการแข่งขันสนามต่างๆ  ว่ากันว่า  3  ทางให้เสียงกลางที่ดี  สามารถยกเวทีเสียงให้สูงได้  เมื่อติดตั้งอย่างเหมาะสม  แต่ด้วยจำนวนดอกลำโพงที่มากขึ้น  อาจเกิดปัญหาความไม่สมดุลของเสียง  หรือการออกแบบพาสซีพครอสโอเวอร์ไม่ดีพอ ก็จะทำให้ลำโพงนั้นขาดความไพเราะ  

        ลำโพง  6  คูณ  9  นิ้ว  หรือที่นิยมเรียกกันว่าลำโพงรูปไข่  เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่เป็นวงรี  ลำโพงประเภทนี้เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการพลังและปริมาณเสียงทุ้มมากกว่าลำโพงแยกชิ้น  2-3  ทางสักหน่อย  เนื่องจากตัวดอกลำโพงเสียงกลางทุ้มมีขนาดที่ใหญ่  จึงผลักดันปริมาณเสียงทุ้มออกมาได้มากกว่า  เป็นอีกทางเลือกสำหรับงบประมาณที่จำกัด  แต่ต้องการปริมาณของเสียงทุ้มที่เพิ่มขึ้น

       สำคัญที่สุดสำหรับลำโพงไม่ใช้การเลือกซื้อครับ  แต่เป็นการติดตั้งที่พิถีพิถัน  ใส่ใจในการหาตำแหน่งที่ดีที่ตรงตามต้องการของท่านผู้อ่านให้มากทั้งสุด  ทั้งความสวยงามและคุณภาพเสียง

       ลำโพงซับวูฟเฟอร์  เป็นลำโพงที่ว่ากันด้วยเรื่องเสียงทุ้มอย่างเดียวครับ  ทุ้มต้นทุ้มลึกก็ล้วนออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์  ผู้อ่านท่านใดไม่พอใจเสียงทุ้มจากลำโพงกลางแหลมคู่เดิม  อยากได้เสียงทุ้มอิ่มลึก  พลังเสียงที่กระแทกกระทั้น  ก็คงจะต้องกล่าวกันถึงลำโพงซับวูฟเฟอร์  การเลือกลำโพงประเภทนี้ไม่ยากนักครับ  วัสดุที่ใช้ทำกรวยลำโพงควรแข็งแกร่ง  รวมถึงขอบเซอร์ราวน์ควรเหนียวนุ่ม  มีความยืดหยุ่นสูง  สไปเดอร์ควรยึดกระบอกวอยส์คอยของลำโพงได้เป็นอย่างดี  โครงลำโพงต้องแข็งแกร่ง  ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาจะส่งผลต่อการรับกำลังขับสูงๆ  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ  การหาปริมาณและตำแหน่งที่ติดตั้งของตู้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ครับ

       อุปกรณ์เสริมประเภทสายต่างๆ   ควรให้ความสำคัญครับ  ส่งผลโดยรวมต่อคุณภาพเสียงทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ  สายสัญญาณ  สายลำโพง  อย่าคิดว่าสายแบบไหนก็ส่งผ่านสัญญาณเสียงและกระแสไฟได้เหมือนกัน  สายไฟที่ผลิตจากตัวนำที่ดีย่อมส่งผลถึงคุณภาพในการไหลผ่านของกระแสไฟ  รวมถึงขนาดก็มีความสำคัญของปริมาณกระแสไฟที่ไหลผ่าน  สายสัญญาณส่งผลต่อรายละเอียดที่มาจากเฮดยูนิตเพื่อนำสู่ภาคขยายของเพาเวอร์แอมป์  สัญญาณเสียงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ครบถ้วนตกลงหล่นขาดหายหรือไม่  คุณภาพของสายสัญญาณเป็นตัวกำหนดสำคัญ  สายลำโพงคุณภาพของตัวนำและขนาดส่งผลโดยตรงต่อรายละเอียดและพลังเสียง  เมื่อต้องใช้สายลำโพงที่มีขนาดยาว  ก็ยิ่งควรให้ความสำคัญกับคุณภาพสายลำโพงให้มากขึ้น  เพื่อคุณภาพเสียงไม่ตกหล่นก่อนเข้าสู่การทำหน้าที่ของดอกลำโพงครับ

     คำกล่าวทั้งหมดในการเลือกใช้อุปกรณ์เป็นเพียงแนวทางในการตัดสินใจ  หลังจากท่านผู้อ่านตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องเสียงเพื่อฟังเพลงสักชุด  ควรให้ความสำคัญต่อการติดตั้ง  เพราะเครื่องเสียงอุปกรณ์เหมือนกัน  สิ่งที่จะทำให้แตกต่างกันมากที่สุดคืองานติดตั้ง  ใส่ใจสักนิดก่อนจ่ายเงินเพื่อให้ได้ชุดเครื่องเสียงที่ถูกใจ  คุณภาพเสียงไพเราะเข้าหูครับผม

ที่มา http://www.rocketsound.co.th

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

New Honda CR-V 2013 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

 New Honda CR-V 2013 สเปค ราคา ความคุ้มค่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก automobiles.honda.com

Honda CR-V 2013

          หลังจากที่รอคอยกันมานาน สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นล่าสุดของทางค่ายฮอนด้า "นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี" (New Honda CR-V) ในที่สุดทางค่ายได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมเผยราคาจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าทางฮอนด้าจัดหนักและจัดเต็ม เพื่อหวังครองตลาดบ้านเราให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้



          สำหรับ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ตัวล่าสุดนี้ จัดเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูล ซีอาร์-วี ที่ออกแบบโดยเน้นความหรูหราโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเท่มากขึ้น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่เฉพาะตัว และล้ออัลลอยด์ 5 ก้านขนาดใหญ่สุดเนี้ยบ ซึ่งทั้งหมดออกแบบมาได้อย่างกลมกลืน ส่วนสมรรถนะเบื้องต้น เครื่องยนต์จะมี 2 รุ่นได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 190 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า



       แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 220 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนั้น มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ผสานกับระบบควบคุมอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างสะดวก รวมทั้งช่วยลดแรงเสียดทานและการสั่นสะเทือนได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบอีโค แอสซิสต์ (Eco Assist) ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปอีก และยังสามารถรองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอล E85 ได้อีกด้วย

All-New Honda CR-V 2013 rear red colour

          ด้านภายในห้องโดยสารจะเน้นความกว้างขวางมากกว่ารุ่นเดิม เพราะเป็นรถเอสยูวีสำหรับครอบครัวขนาดย่อมอย่างแท้จริง โดยเป็นรถขนาด 5 ที่นั่ง ซึ่งที่นั่งด้านหลังคนขับนั้นพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ความจุในห้องวางของได้มากขึ้น วัสดุภายในรถไล่ตั้งแต่พรม หนังหุ้มคอนโซล เบาะที่นั่ง ทั้งหมดใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งสิ้น ตัวคอนโซลรถมีการปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (i-MID) ซึ่งสามารถช่วยนำทาง บอกปริมาณน้ำมัน เชื่อมต่อสัญญาณสมาร์ทโฟนระบบ Bluetooth รวมไปถึงมีหน้าจอแอลซีดีไว้เลือกชมเพื่อความบันเทิง เรียกได้ว่าเป็นรถเอสยูวีที่หรูหราและอเนกประสงค์แบบสุด ๆ

All-New Honda CR-V 2013 Engine

          สำหรับผู้ที่กำลังสนใจ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ปล่อยให้ต้องรอกันนานอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ได้วางจำหน่ายและเผยถึงราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่รุ่น 2.0 S แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,164,000 บาท รุ่น 2.0 E แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,274,000 บาท รุ่น 2.4 EL 2WD แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,440,000 บาท และรุ่น 2.4 EL แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,524,000 บาท ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าการขายไว้ที่ 20,000 คัน ภายใน 1 ปี

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

น้ำมันแก๊สโซฮอล์คืออะไร


น้ำมันแก๊สโซฮอล์คืออะไร

          แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95



          ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี


น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (GASOHOL)
        ทุกวันนี้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินที่ลิตรละเกือบ 30 บาท ได้ทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยและกลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดในทุกวงการได้พูดคุยถกเถียงกันหนาหู ถึงราคาที่ปรับขึ้นจนใกล้เข้าสู่จุดวิกฤตอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วยประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด และยังคงต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพยายามหาแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศมาใช้แทนน้ำมัน และหาแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 Image


       จากความต้องการของพลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี พ.ศ.2548 พบว่า ภาคขนส่งมีการใช้พลังงานมาที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 เกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ 
"แก๊สโซฮอล์"
ที่มา energy.go.th

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก leftlanenews.com

          ถ้าพูดถึงรถจี๊ป คุณคงนึกถึงรถใหญ่ ๆ ที่เหมาะสำหรับการขับเที่ยวลุยป่าลุยเขาหรือพื้นผิวที่ลำบากได้เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เห็นรถแรงของจี๊ปคันล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวออกมานี้ เห็นทีว่าภาพลักษณ์เดิม ๆ ของจี๊ปในความคิดคุณอาจจะเปลี่ยนไป เมื่อจี๊ปได้ผลิต Jeep Grand Cherokee SRT-8 รถจี๊ปรุ่นล่าสุดที่มาความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยผลิตมา


          โดยรถจี๊ปรุ่น SRT นี้เป็นการปรับปรุงรุ่น แกรนด์ เชโรกีขึ้นมาใหม่ ตัวย่อ SRT มาจาก Street and Racing Technology ซึ่งเป็นแผนกพัฒนาระบบเครื่องยนต์ขั้นสูงของบริษัทไครสเลอร์ ( Chrysler ) ส่วนรหัส 8 ที่ต่อท้ายหมายถึงเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นแรงของแกรนด์ เชโรกี มีเครื่องยนต์แบบใหม่ล่าสุด HEMI V8 ด้วยเทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน ความจุ 6.4 ลิตร สามารถวิ่งได้ถึง 800 กิโลเมตร สำหรับน้ำมันถังแรก ขณะที่ถังต่อมาได้ประมาณ 720 กิโลเมตร


          ด้านเครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ประมาณ 470 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 63 กิโลกรัมต่อเมตร อัตราเร่งทำได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและระยะเบรคจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนหยุดนิ่ง อยู่ที่ 35 เมตร ส่วนระบบเกียร์นั้นเป็นแบบ LSD ( Limited Slip Differential ) ที่ช่วยแก้ปัญหาเวลารถตกหล่ม ลดอาการล้อฟรี ช่วยควบคุมการสะเทือนและทรงตัวของรถได้อีกด้วย พร้อมระบบขั้นสูงจาก Brembo

          สำหรับจี๊ป แกรนด์ เชโรกี SRT-8คันนี้ ได้ออกจำหน่ายให้ผู้ที่ชื่นชอบรถลุยแรง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยราคาประมาณอยู่ที่ 61,160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,960,000 บาทไทย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โตโยต้า เซลิก้า 7 Generation

โตโยต้า เซลิก้า 7 Generation



Generation ที่ 1 (รุ่นปี พ.ศ. 2513-2521)

เซลิก้า โฉมที่ 1 มีรหัสตัวถัง A20 กับ A35 ออกสู่ตลาดในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2513 โดยใช้เครื่องคาบิวเรเตอร์สี่สูบ 1600, 1900, 2000 และ 2200 ซีซี

มีลักษณะตัวถัง 2 แบบ คือ liftback 3 ประตู และ hardtop 2 ประตู เซลิก้าโฉมนี้ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นที่มีคุณลักษณะและรายละเอียดเทียบเท่ากับรถ ฟอร์ด มัสแตง ของสหรัฐอเมริกา (ฟอร์ด มัสแตง ในอเมริกา เป็นรถที่โด่งดังและประสบความสำเร็จสูงมาก ซึ่งเป็นรถที่ครองสถิติประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการรถ) จนได้รับฉายาว่า "มัสแตงญี่ปุ่น" (Japanese Mustang)
มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 3 ระบบ คือเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, ธรรมดา 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 2



เซลิก้า โฉมที่ 2 มีรหัสตัวถัง A40 ออกสู่ตลาดครั้งแรกในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2520 แต่ได้ขึ้นแท่นแทนโฉมที่ 1 ใน พ.ศ. 2521 โดยมีทริมแบบ ST และ GT
มีเครื่องยนต์ 4 ขนาด คือ 1600, 1800, 2000, 2200 ซีซี ซึ่งพัฒนาระบบความปลอดภัยและการประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นแรก และรุ่นนี้มีตัวถัง 2 แบบคือ coupe 2 ประตู และ liftback 3 ประตู
เซลิก้า โฉมที่ 2 ได้รางวัล "รถยนต์นำเข้าประจำปี" ในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2521 ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 โตโยต้าได้ผลิตรถบ้านที่ผสมผสานเทคโนโลยีรถสปอร์ตเข้าไปด้วย เป็นรถ 4 ประตู ชื่อรุ่น "โตโยต้า เซลิก้า คัมรี่" หรือ "โตโยต้า คารีนา" ซึ่งขายดีมาก ทำให้สองปีต่อมา โตโยต้าได้มีการแยกเอารุ่นคัมรี่ออกจากตระกูลเซลิก้า และตั้งเป็นรถตระกูลใหม่ในชื่อ โตโยต้า คัมรี่
[แก้]Generation ที่ 3 (รุ่นปี พ.ศ. 2525-2529)



โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 3

เซลิก้ายุค 3 มีรหัสตัวถัง A60 ออกมาเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2524 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และใช้เครื่องยนต์ 4 ขนาด คือ 1600 1800, 2000 และที่เด่นที่สุดคือเครื่องแบบ 22RE 2400 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง
ในรุ่นปี พ.ศ. 2526 โตโยต้า ได้เพิ่มทริม GT-S สำหรับรถสปอร์ต ซึ่งรวมขนาดล้อที่ใหญ่ขึ้น แก้มล้อที่ใหญ่ขึ้น independent rear suspension และการตกแต่งภายในแบบรถสปอร์ต ได้แก่ เบาะรถสปอร์ต พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง และกระปุกเกียร์แบบรถสปอร์ต
โฉมนี้ มี 3 รูปแบบตัวถัง คือ liftback 3 ประตู, coupe 2 ประตู และ convertible 2 ประตู

โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 4




เซลิก้ายุค 4 มีรหัสตัวถัง T160 ออกมาเปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528 ได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่หมด โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า กับแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ตัวถังรถเริ่มลดความเหลี่ยมลงเมื่อเทียบกับโฉมก่อนๆ และเครื่องยนต์สี่สูบ 1600, 1800 และ 2000 ซีซี ในรุ่นนี้มีทริมแบบ ST, GT และ GT-S โดยในรุ่นทริม GT เปิดประทุนมีหลังคาแบบอ่อนขึ้น รุ่นทริม ST และ GT มากับเครื่อง 2S-E SOHC 8 วาล์ว 2000 ซีซี 92 แรงม้า และได้เปลี่ยนเป็นเครื่องเครื่อง 3S-FE DOHC 116 แรงม้า ในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ร่วมกับแคมรี รุ่นทริม GT-S ใช้เครื่อง 3S-GE DOCH 2000 ซีซี 135 แรงม้า
ในปี พ.ศ. 2531 โตโยต้าได้แนะนำเครื่อง GT-Four (ชื่อในสหรัฐว่า All-Trac) โดยเป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อพร้อมกับเทอร์โบชาร์จ ภายใต้เครื่อง 3S-GTE 190 แรงม้า 2000 ซีซี ซึ่งได้กลายมาเป็นรถแรลลีอย่างเป็นทางการของโตโยต้า

โฉมนี้ มีตัวถัง 3 แบบ คือ liftback 3 ประตู, coupe 2 ประตู และ convertible 2 ประตู ระบบเกียร์มีให้เลือกซื้อ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด




โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 5
โฉมที่ 5 เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2532 มีรหัสตัวถัง T180 โฉมนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปทรงไป โดยให้รถโค้งมนตลอดคัน แทนที่จะเหลี่ยมๆ เหมือนรุ่นก่อน และพัฒนาล้อและยาง โดยในอเมริกาเหนือ ทริม GT และ GT-S ใช้เครื่อง 5S-FE 2200 ซีซี ขณะที่ทริม ST สปอร์ต ใช้เครื่อง 4AFE 1600 ซีซี โดยทั้งหมดเป็น DOHC 16 วาล์ว โดยในปี พ.ศ. 2534 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องเล็กน้อยเป็น 135 และ 145 แรงม้า
ในรุ่น GT และสูงกว่าได้มีการนำมาใช้ระบบเบรกแอนตีล็อก รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆเพิ่มความหรูหราให้กับเซลิก้า
รถโฉมนี้มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด วงการรถไทยนิยมเรียกว่า "โฉม Pop-Up"
เซลิก้าโฉมที่ 5


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 6

เซลิก้าโฉมที่ 6 มีรหัสตัวถัง T200 เริ่มต้นผลิตในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 และส่งเข้าตลาดแทนที่โฉมที่ 5 ในรุ่นปี พ.ศ. 2537
เซลิก้าโฉมนี้ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จะมีรหัสตัวถัง ST202-ST204 และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีรหัสตัวถัง ST205

มีตัวถัง 3 รูปแบบ ได้แก่ liftback 3 ประตู, notchback 2 ประตู และ convertible 2 ประตู ความจุถังน้ำมันประมาณ 60.2 ลิตร
มีระบบเกียร์ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด และธรรมดา 5 สปีด ขนาดเครื่องยนต์ 3 ขนาด คือ 1800, 2000, 2200 ซีซี โฉมนี้วงการรถในไทยมักเรียกว่า "โฉมตากลม"


โตโยต้า เซลิก้า โฉมที่ 7


เซลิก้าโฉมที่ 7 มีรหัสตัวถัง T230 เริ่มต้นผลิตเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 ส่งเข้าตลาดแทนโฉมที่ 6 ในรุ่นปี พ.ศ. 2543
มีตัวถัง 1 รูปแบบ คือ liftback 3 ประตู ขนาดเครื่องยนต์ 1 ขนาด คือ 1800 ซีซี ยกเลิกตัวถังและเครื่องยนต์สำหรับขับเคลื่อนสี่ล้อ คงเหลือแต่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบเกียร์ 3 ระบบ คือ อัตโนมัติ 4 สปีด, ธรรมดา 5 สปีด และธรรมดา 6 สปีด
รุ่นปีสุดท้ายของรถตระกูลเซลิก้า คือ รุ่นปี พ.ศ. 2548 ก่อนจะถูกโตโยต้าสั่งปิดตัวการผลิตรถตระกูลเซลิก้าลงในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2549

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของ Mercedes Benz

 Mercedes Benz มีจุดเริ่มต้นเป็นยังไง ประวัติความเป็นมา


คาร์ล เบนซ์ และกอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้บุกเบิกแห่งโลกยนตรกรรมทั้งคู่เป็นนักประดิษฐ์ และพัฒนายานยนต์ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ได้ร่วมกิจการเป็นบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ เอจี(Daimler-Benz AG) ผู้ผลิตรถคุณภาพในนามเมอร์เซเดส-เบนซ์



        กอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้นำระบบสันดาปภายในมาสนองวิสัยทัศน์แห่งการขับขี่ขนส่งโดยเริ่มทดสอบเครื่องยนต์พลังสูงเครื่องแรกของโลกในปี 1883 สองปีต่อมาเขาได้ผลิตจักรยานยนต์คันแรกของโลกโดยติดตั้งเครื่องยนต์เข้ากับจักรยานอีกสามปีต่อมา เขาได้ติดตั้งเครื่องยนต์ดังกล่าวเข้ากับตัวรถม้านับเป็นรถยนต์สี่ล้อคันแรกในชีวิตนักประดิษฐ์ของเขา

        คาร์ล เบนซ์ เลือกเส้นทางยนตรกรรมที่แตกต่างจาก เดมเลอร์ เขาถือว่าการสร้างรถยนต์จะต้องอาศัยหลักการที่แตกต่างจากระบบรถเทียมม้าโดยสิ้นเชิงด้วย เหตุนี้เขาจึงออกแบบยานยนต์ให้มีสามล้อติดตั้งเครื่องยนต์หนึ่งสูบในแนวนอน และได้จดทะเบียนสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1986 จำนวนรถที่ผลิตจากโรงงานของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรถรุ่น "เวโล(velo)" เริ่มปรากฏโฉมโดยระหว่างปี 1894 ถึง 1901 ผลิตได้ถึง 1,200 คัน อาจกล่าวได้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์

ศาสตร์ และศิลป์แห่งยนตรกรรม

        เกียรติประวัติอันยาวนานได้พิสูจน์ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เป็นแค่พาหนะใช้งาน แต่เป็นผลึกความคิดซึ่งตกทอดมาจากรถคันแรกที่ใช้ชื่อ "เมอร์เซเดส" เมื่อ ค.ศ. 1900 ซึ่งมีรูปลักษณ์อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับบรรดา "รถม้าที่ไม่ใช้ม้าลาก" ในยุคนั้นกล่าวคือ มีเครื่องยนต์ติดตั้งด้านหน้า บังคับถอยหลังได้ ติดกระจังหม้อน้ำแบบรวงผึ้ง มีกลไกเปลี่ยนเกียร์ดรัมเบรก และแกนพวงมาลัยแนวเฉียง นวัตกรรมเหล่านี้ คือคุณลักษณะที่โดดเด่นมาจนถึงวาระแห่งการเปิดศักราชเครื่องยนต์พลังงานสูงในปี 1921 ด้วยฝีมือสร้างสรรค์ของเฟอร์ดินาน พอร์ช และนับจากนั้นเป็นต้นมา เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายรุ่นก็เรียงแถวออกมาเป็นดาวเด่นในวงการยานยนต์จนถึงปี 1952
ตำนานดาวสามแฉกในกรุงสยาม

        ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องรถยนต์เป็นอย่างมากจนกระทั่งในปี พ.ศ.2447 เสด็จกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ทรงสั่งให้บริษัทเยอรมันในกรุงปารีส ประกอบรถยนต์เก๋งหนึ่งคัน ยี่ห้อเมอร์เซเดส รุ่น 28 hp 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้าหมายเลขแชสซี คือ 2397 และหมายเลขเครื่องยนต์ คือ 4290 และได้ทรงนำรถขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก รถคันนี้ คือรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ต่อมาทรงเล็งเห็นว่ารถยนต์เพียงคันเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้งานตามพระราชประสงค์ เนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า และฝ่ายในหลายพระองค์ก็ทรงโปรดปรานรถยนต์กันทั้งนั้น จึงได้ตัดสินพระทัยซื้อรถยนต์พระที่นั่งอีกหนึ่งคัน และทรงเลือกเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้ง สั่งนำเข้าโดยตรงจากเยอรมนี เป็นรถเก๋งสีแดง รุ่นปี 2448 เครื่องยนต์สี่ลูกสูบขนาด 28 แรงม้า วิ่งเร็ว 73 กม. ต่อชั่วโมงซึ่งนับว่าเร็วมากในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามแก่รถยนต์ว่า "แก้วจักรพรรดิ์"

        ด้วยศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยบริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์(ประเทศไทย) จำกัด จึงได้เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศครอบคลุมทั้งการนำเข้า และประกอบรถยนต์ จัดจำหน่ายรถยนต์นั่งสาธารณะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ดาวสามแฉก ได้มาส่องสกาวนำทางอยู่บนท้องถนนเมืองไทยนับเป็นเวลากว่า 100 ปี และได้รับความนิยมชมชื่นในฐานะรถคุณภาพชั้นนำที่รับใช้คนไทยมาหลายยุคสมัย จวบจนวันนี้ได้มีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ โลดแล่นอย่างโดดเด่นเป็นสง่าทั่วประเทศไทยมาแล้วกว่า 100,000 คัน และเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรักษาความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรมเลิศหรูในประเทศไทยอย่างแท้จริง

ขอบคุณบทความจาก http://www.vrclassiccar.com

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Ford Focus ST รีวิว สเปค ราคา


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com

หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทาง Ford ได้เผยโฉมให้เห็นกับ ”Ford Focus ST” รุ่นปี 2013 กันแบบเต็ม ๆ แล้ว มาในปีนี้ Ford ก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มตัว เพราะ ณ ขณะนี้ Ford Focus ST รุ่นปี 2013 พร้อมแล้วกับการเตรียมออกจำหน่ายใน 40 ประเทศทั่วโลก

Ford Focus ST 2013
สำหรับ Ford Focus ST 2013 นี้ จะมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อยคือ ST1, ST2 และ ST3 ทั้งแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูและแบบเอสเตทที่จัดเต็มกับความสปอร์ตแบบไม่มียั้ง เริ่มตั้งแต่ส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ EcoBoost 2.0 ลิตร Ti-VCT ทำกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า กับอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เวลา 6.5 วินาที ซึ่งส่งกำลังผ่านเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับเซ็ทขึ้นมาใหม่

Ford Focus ST 2013
ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะแรงน่าดู แต่เรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Ford เอง ก็ได้จัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราทดพวงมาลัยขึ้นใหม่ เพื่อลดความเร็วเมื่อขับในทางตรง ตามด้วยระบบ ”Torque Vectoring Control” ที่ช่วยให้การเบรคของล้อทำได้ดีมากขึ้น และระบบควบคุมสเถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่มีให้เลือกใช้ 3 แบบ ทั้งการใช้งานตามปกติเพื่อเน้นการยึดเกาะถนน การใช้งานเฉพาะ ESP สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือจะเลือกปิดระบบนี้ไปเลยก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะใช้สมรรถนะแบบไม่ยั้ง
มาดูในส่วนของการดีไซน์บ้าง อย่างที่บอกไปว่า Ford Focus ST 2013 เน้นในเรื่องของความเป็นลุคสปอร์ต ฉะนั้น ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ก็จะมีดีไซน์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยภายนอกนั้น  ก็จะมีดีไซน์ตามแบบฉบับของ Ford แต่แฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่ส่วนกระจังหน้าที่เป็นแบบรังผึ้ง ไปยันท้ายรถที่ใช้ท่อไอเสียคู่ที่รับกันกับดีไซน์ทั้งหมด และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว
ด้านภายใน สะดุดตาทันทีกับเบาะนั่งของ Recaro ที่กระชากอารมณ์ของความเป็นรถสปอร์ตแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบที่ได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ ตามด้วยหน้าจอบริเวณคอนโซลที่ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และชุดเครื่องเสียงของ Sony กับลำโพงกว่า 10 ขุดที่มีอยู่กระจายทั่วห้องโดยสาร
ตามรายงานระบุว่า Ford จะส่ง Focus ST 2013 ออกจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดว่าทาง Ford ตั้งไว้ที่ค่าตัวเท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของกูรูรถยนต์หลาย ๆ คนมองว่า น่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 750,000 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่า นี่เป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีของแต่ละประเทศแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของ BMW

ประวัติความเป็นมาของ BMW


Friedrich Karl Rapp คือชื่อของผู้ก่อตั้ง BMW   หนึ่งของโลกที่ใหญ่ที่สุด บริษัท ผลิตรถยนต์ทั่ว BMW หรือชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า  Bayerische Motoren Werke (Bavarian Motor Works) ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 เป็นผู้สืบทอดที่ Rapp มอเตอร์

หลายคนคิดว่าโลโก้ของ BMW มาจากใบพัดสีขาวหมุนเห็นพื้นหลังของสีฟ้าที่ นี้อาจจะให้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นที่รู้จักกันว่ายังมาจากธงสีขาวและสีฟ้าของบาวา เรีย  รัฐใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐคือมิวนิ คและเป็นสถานที่ที่แม้วันนี้เราสามารถหาสำนักงานใหญ่ BMW



ในปี 1916 ด้วยรากฐานของ บริษัท สัญญาเป็นหลักประกันสำหรับการสร้างเครื่องมือ V12 เครื่องมือเหล่านี้จะถูก ใช้ในการสร้างรถยนต์จาก Austro - Daimler นี้ 12 ถังเครื่องยนต์ V ที่ใช้เป็นครั้งแรกในเครื่องบินซึ่งเป็นแผนเดิมของ บริษัท BMW การบัญชีเวลาที่ บริษัท ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นอย่างมากจะให้พวกเขาต่อไปเช่นนั้น

แต่ใน 1919 หลังสงครามโลกครั้งและสนธิสัญญาแวร์ซายการผลิตเครื่องบินในประเทศเยอรมนีได้ ห้ามและที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเมืองของ BMW พวกเขาเริ่มทำเบรกสำหรับ การขนส่งทางรถไฟ หลังจากที่ BMW ก็สามารถออกแบบเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ซึ่งใช้สำหรับการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีชื่อเรียกว่ารุ่น Victoria Victoria แต่ไม่ได้สร้างโดย BMW แต่ บริษัท อื่นใน Nuremberg

1924 BMW ทำในรูปแบบของรถจักรยานยนต์ที่เป็นครั้งแรกหนึ่งพวกเขาสร้าง  R32 นี้เป็นจุดเปลี่ยนใน ประวัติศาสตร์ BMW เพราะมันเป็นความสำเร็จที่สำคัญและทศวรรษที่พวกเขาใช้เทคโนโลยี 500 ซีซีของเครื่องยนต์เย็นลงโดยอากาศ หลังจากที่ BMW เพิ่มหนึ่งนวัตกรรมใหม่ driveshaft มาแทนสายสำหรับการขับขี่ ที่ล้อหลังและเป็นเครื่องหมายของ BMW สำหรับค่อนข้างบางเวลา

ในเยอรมันเมือง Eisenach ในปี 1927 เริ่มผลิต Dixi  ภายใต้ใบอนุญาต แต่เพียงหนึ่งปีหลังจากที่ บริษัท Dixi ถูกซื้อโดย BMW และพวกเขาเริ่มผลิตมวลร่วมกับรุ่น Austin Seven

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ เริ่ม BMW เอาสถานที่ในนั้นเพราะทางฝ่ายกองทัพของเยอรมัน พวกเขาใช้ BMW R75 พร้อมกับ BMW R12 เพราะต้องสูงของเครื่อง ยนต์ BMW บันทึกที่ระยะเวลาเป็นผลกำไรสูง BMW เป็นผู้ผลิตหลักและแม้คำนี้เช่น Wehrmacht Luftwaffe และนำความทรงจำมากมาย ของเครื่องบินที่ดีที่สุด ในครั้งประวัติศาสตร์ที่ใช้ BMW เครื่องยนต์ - Aero และจนถึง 1945 กว่า 30 000 เครื่องบินกับเครื่องมือเหล่านี้ผลิต

BMW ได้ทำวิจัยซึ่งทำให้ บริษัท เพื่อให้เครื่องยนต์เจ็ทที่แตกต่างกันสำหรับอาวุธ ด้วยการใช้อำนาจบางคนซึ่ง ประกอบด้วยส่วนใหญ่นักโทษของสงคราม BMW ที่ทำอาวุธจรวดตามจำนวนมากที่ถูกใช้ในสงคราม

หลังจากการสร้างอาวุธจรวด ตามส่วนของ บริษัท มี bombed โซเวียตวอดส่วนใหญ่ของ บริษัท ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเยอรมนีและโรงงานฐานในมิวนิคถูกทำลายเกือบสมบูรณ์

หลังจากสงคราม BMW ไม่สามารถกู้คืนได้อย่างรวดเร็วเพราะต้องสร้างโรงงานในมิวนิคที่ หลังจากที่เมื่อข้อ จำกัด จากพันธมิตรที่ใช้กับ BMW ถูกห้ามยาวสามปีที่ บริษัท ถูกห้ามจากการผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์จน 1948 ถึง 1952

ใน 1951 บริษัท บาวาเรียก็สามารถคืนเครื่องหมายการค้าและมันดูเหมือนเป็นที่สุดสามารถกู้และ เริ่มต้นใหม่จากสิ่งที่เหลือ ในปี 1959 Herbert Quandt กลายเป็นล้อ"ที่เปิด BMW รอบเพราะเขาปฏิเสธจัดการกับ Daimler - Benz และทันทีหลังจากที่เขาเพิ่มขึ้นของหุ้นใน บริษัท BMW ได้ถึง 50%

ชื่อของ Kurt Golda เป็นดังคนที่ incited Quandt ทำขั้นตอนนี้และในปีเดียวกัน BMW เริ่มผลิตของ BMW 700 ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ BMW 600 นี้รถยนต์ขนาดเล็กใช้ 2 สูบอากาศเย็นเครื่องยนต์และหลายปีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น LS" Coupe และชุดรถคับเบรียเลต์บางคนยังผลิต

ในปี 1963 BMW เสนอเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท และในปี 1966 โรงงานในมิวนิคมาถึงความจุสูงสุดและ BMW ซื้อ Hans Glas GmbH ข้อนี้ใช้ BMW เพื่อใช้ในโรงงาน Landshut และ Dingolfing

กับรูปแบบใหม่ที่ให้ Bertone ในปี 1972 BMW เริ่มผลิตชุดใหม่ 5 และในปีต่อ บริษัท ที่ทำก้าวหน้าใหญ่ในตลาด 6 ปีภายใต้การนำของ Bernd Pischetsrieder BMW ได้สามารถขยายการจัดการในตลาดโดยการซื้อจาก British Aerospace Rover Group ประวัติ Rover กลุ่มเริ่มต้นในปี 1986 และจนถึงขณะเมื่อ BMW มันเป็นของ บริษัท นี้ก็สามารถบรรลุสิ่งหลายอย่างเช่น Rover 400 ในปี 1990

แต่ Rover ถูกขายให้กับ Phoenix Holdings Venture และ Ford Motor Company เพราะบางปีขาดทุน BMW ตลกกดเรียก Rover"ผู้ป่วยอังกฤษ"หลังจากที่ออกภาพยนตร์ที่คนชื่อซ้ำกับคนอื่น นี้ แต่ไม่ยากที่ BMW และพวกเขาได้งดเว้นจากการตำหนิ ดูเหมือนว่าแม้แต่กด British ไม่มากกระตือรือร้นเกี่ยวกับ Rover

BMW เริ่มผลิตนอกประเทศเยอรมนีในปี 1994 โรงงานใหม่ที่ทำใน South Carolina และวันนี้ยังผลิต BMW X5 และ BMW Z4 ทำมี มีโรงงานในสถานที่อื่น ๆ บางอย่างก็เป็นเช่น Oxford, Goodwood และอื่นๆ หลังจากเวลาในการชุมนุม BMW เริ่มผลิตในแอฟริกาใต้ ส่งออกวันนี้ BMW กว่า 50 000 3 คัน Series ปีญี่ปุ่น, อเมริกา, แอฟริกา, ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง

เพื่อรองรับตลาดในยุโรป ตะวันออกและตะวันออกกลาง BMW วางแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใหม่หรืออยู่ในไซปรัสกรีซ พืชใน Chennai, อินเดียแล้วเปิดการผลิตในปี 2007


โดยปกติแล้วรถยนต์ BMW จะมีการบอกรุ่น และ รหัสต่างๆไว้ที่ด้านท้ายของรถตรงตำแหน่งด้านขวาของฝากระโปรงท้าย ยกตัวอย่าง เช่น 318iA, 523iA, X5 4.4 เป็นต้นซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะบอกถึง ซีรี่ย์ของรถ และขนาดเครื่องยนต์ไว้ซึ่งเราสามารถแยกแยะ ได้ดังนี้

ในกรณีที่บอกเป็นตัวเลข 3 หลัก เช่น 318iA เป็นต้น

- ตัวเลขตัวแรกจะบอก ซีรี่ย์ของรถ เช่น 3 ก็จะหมายถึงซีรี่ย์ 3 ซึ่งในปัจจุบันจะมีใช้อยู่ก็คือ ซีรี่ย์ 3, ซีรี่ย์ 5, ซีรี่ย์ 7, ซีรี่ย์ 8 (หมดการผลิตรุ่นปัจจุบันไปแล้วคาดว่าจะมีรุ่นใหม่ในอนาคต), ซีรี่ย์ 6 (ตอนนี้ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่อีกไม่นานคาดว่าจะเปิดตัว โดยโครงสร้างหลักจะเป็นรถต้นแบบ Z9) และ ซีรี่ย์ 1 ซึ่งจะเปิดตัวในอนาคต


- ตัวเลข 2 ตัวหลังจะบอกขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ เช่น 18 ก็จะหมายถึง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เป็นต้น แต่ตัวเลขนี้อาจจะไม่ตรงกับ ขนาดเครื่องยนต์ที่แท้จริงนัก เนื่องจากหลังๆ BMW มักจะเพิ่มขนาดเครื่องจนสูงกว่าตัวเลขนี้ไปเช่น 318i E46 ก็จะมีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร หรือตัว minorchange ก็จะเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เป็นต้น

- รหัสตัวอักษรข้างหลังจะบอกรายละเอียดอื่นๆ ดังนี้
 
S = Sport Model    ใช้กับรุ่นสปอร์ท หรือ 2 ประตู เช่น 318is(รุ่นหลังๆจะใช้ C)
 
E = Economy engine    มาจากภาษากรีก "eta" ซึ่งมีความหมายว่า "Efficiency" ใช้กับรุ่น 325e และ 528e
 
T = Turbocharger engine    ถ้าใช้ t ตัวเดียวหมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล

ถ้าเป็น td หมายถึง turbodiesel

ถ้าเป็น tds หมายถึง Intercooled turbodiesel
 
T = Touring    รุ่นหลังๆ t จะหมายถึงรุ่น touring ที่เป็นตัวถังแบบ Wagon
 
X = All wheel drive model    ใช้กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรุ่น E30 ใช้เป็น ix ส่วนในรุ่นใหม่ E46 ใช้เป็น xi
 
L = Long wheel base model    ใช้กับรุ่นฐานล้อยาวในซีรี่ย์ 7 บางครั้งใช้นำหน้าเช่น L7 ซึ่งนอกจากฐาน ล้อยาวแล้ว ยังเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษด้วย (Luxury)
 
C or CS = Coupe    ใช้กับรุ่น 2 ประตู บางครั้งใช้ร่วมกับตัว S เช่น CS Coupe sport
 
A = Automatic transmission    ใช้กับรุ่นที่เป็น เกียร์ออโตเมติก
 
SE = Special edition    รุ่นพิเศษ ในบ้านเรา เช่น 318iASE เป็นต้น
           
นอกจากนี้ ยังมีรถรุ่นอื่นๆที่ไม่ได้ใช้เลข 3หลักบอกซีรี่ย์อีกเช่น Z3, Z8, Z9, X5, และตัวแรงรหัส M3 และ M5 ซึ่งในบางรุ่นจะ บอกขนากเครื่องยนต์ไว้ต่อท้าย เช่น Z3 1.8i, X5 3.0i หรือ 4.4i เป็นต้น
     
ส่วนรหัส M ก็จะหมายถึง Motorsport โดยเริ่มจาก M1 และตัวที่โด่งดังที่สุดคือ M3 นอกจากนี้ก็มี M5 และ M6
     
ต่อจากรุ่นก็เป็นรหัสตัวถัง รหัสตัวถังในรุ่นใหม่จะใช้ E นำหน้า ปกติแล้วใช้เป็นการภายในของ BMW เองแต่กลับแพร่ หลายออกมาจนคนทั่วไปก็นำมาเรียกขานกัน ในบางรุ่นจะมีรหัสพิเศษต่อท้ายอีก แต่คงไม่ได้นำมาพูดถึง เช่น รหัส E36/7 จะหมายถึง Z3 ตัวปัจจุบัน เป็นต้น

ที่มา http://www.bmwworld.com

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับรถยนต์


เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับรถยนต์

รวมบทความเวปน่าสนใจครับ ความรู้ทั้งนั้นครับพี่น้อง
เกี่ยวกับสุขภาพ
ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้า เพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่าย ๆ ได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่า หรือปลากะพงอบ ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก คุณอาจซื้ออาหาร หรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช  ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม
เกี่ยวกับการทำเงิน
refund : money that the government gives back to you when you pay too much in taxes, or have withheld too much from your salary.
หมายถึง เงินคืนภาษี ซึ่งเกิดจากการคำนวณภาษีในรอบสุดท้ายของปีภาษีนั้นแล้วพบว่า ภาษีที่เราได้เสียหรือถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนในระหว่างปีนั้นสูงกว่าข้อกำหนด ซึ่งทางสรรพากรก็จะต้องทำการคืนเงินในส่วนต่างนั้นให้เรา
เกี่ยวกับสมุนไพรไทย
จากวันเวลาอันยาวนานที่ได้ผ่านมาในการทำธุรกิจสิ่งที่ทุกคนในตระกูลเวชพงศายึดมั่นตลอดมาคือคำสั่งสอนของ อากง (นายอิ้วเจีย) ที่ว่าอาชีพค้ายานั้นเป็นกิจการที่ช่วยให้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้อย่างพอกินพอใช้ เปรียบเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่อย่าหวังร่ำรวยมากมาย ข้อสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์และจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ผู้ที่มาหาซื้อยาไปรักษาโรคนั้นก็มีความทุกข์ยากอยู่แล้ว อย่าซ้ำเติมโดยการค้ายาปลอมหรือหากำไรเกินควรจากคนเหล่านั้นเลย
เกี่ยวกับรถยนต์ รถรุ่นใหม่ ปัญหารถยนต์ครับ
หน้าที่หลัก 4 ประการของยางรถยนต์
1. รับน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุก
2. ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน
3. เป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน
4. ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามความประสงค์
เวปทั่วๆไปน่าสนใจ
คอมพิวเตอร์ IT tablet os
http://computernews.orgfree.com/

เกี่ยวกับมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
http://thaiphone5.orgfree.com/

ขนมหวานไทย
http://kanomvanthai.orgfree.com/

ประเพณีไทย
http://papaneethaibolan.orgfree.com/

การเงินการลงทุน
http://valueinvestor.orgfree.com/

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับ สุขภาพ ธุรกิจส่วนตัว รถยนต์ เเละ สมุนไพร


เเนะนำเวปไซต์เกี่ยวกับ สุขภาพ ธุรกิจส่วนตัว รถยนต์ เเละ สมุนไพร
อันนี้อยู่ในหมวดหมู่ของการรักษาสุขภาพร่างกายให้เเข็งเเรงดี
อันนี้เป็นเวปเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
อันนี้เกี่ยวกับรถยนต์ไทย
เวปเกี่ยวกับการรถยนต์น่ารู้น่าสนใจ
http://knownewsmotor.orgfree.com/
http://motorthai.orgfree.com
http://knowhowmotor.orgfree.com
เเถมให้
คุณและโทษของอาหารเสริม
อาหารเสริม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเพื่อเสริมการรับประทานจากอาหารหลัก อยู่ในรูปของเม็ด เกล็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในรูปลักษณ์อื่นๆ ที่ใช้รับประทานโดยตรงเสริมการรับประทานอาหารหลักตามปกติทุกวันของคนปกติ และเพื่อเป็นการปัองกันการเกิดโรคต่างๆ
ปัจจุบันนี้พบว่ามีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงร่างกายออกวางจำหน่ายมากมาย อันจะพบได้ตามสื่อโฆษณาต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์มีการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง เช่น ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักและเสริมความงาม เมื่อใช้แล้วจะเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ หรืออาหารเสริมบำรุงสมอง เมื่อทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะทำให้สมองมีความจำดี เป็นต้น และพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแต่ละชนิดมีราคาแพงมากและประโยชน์ที่ได้จากอาหารเสริมเหล่านี้ก็ยังไม่ชัดเจน มีมากหรือน้อยเพียงไร ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย
ประโยชน์ของอาหารเสริมมีอยู่ 3 ประการ
1. ช่วยให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกัน คือ สุขภาพสมบูรณ์ปราศจากโรคภัย จึงมีการคิดค้นอาหารเสริมเพื่อช่วยเพิ่มในส่วนที่ร่างกายขาดไป
2. จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอาหารเสริมจะเข้าไปเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ครบถ้วนเต็มที่
3. สามารถช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคบางชนิดแทนยาแผนปัจจุบันได้ เช่น น้ำว่านหางจระเข้รักษาอาการโรคกระเพาะ น้ำมันตับปลาค็อด (cod liver oil) ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น นากจากนี้ยังพบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน
การกินอาหารเสริมมากเกินไป บางครั้งพบว่าทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายและสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไป อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เช่น วิงเวียน ปวดศรีษะ อุจจาระเป็นสีดำ ท้องผูก ท้องเสีย มีกลิ่นตัว และเหงื่อออกมาก
ตัวอย่างของผลข้างเคียงของอาหารเสริม
- อาหารเสริมประเภทซุปไก่สกัด มีคุณค่าเท่ากับไข่ไก่ฟองเดียว
- สาหร่ายสไปรูไลน่า จะมีปริมาณกรดนิวคลิกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์
- รังนกที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เลยว่ากินแล้วผิวพรรณอ่อนกว่าวัย แต่มีผลข้างเคียงต่อผู้ที่เป็นลมชัก
- น้ำมันตับปลา ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอี และเสี่ยงต่อสารพิษด้วย
- ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน ซึ่งขณะนี้นักวิชาการพบว่ามีผลข้างเคียงต่อการเป็นมะเร็ง
ถ้าจำเป็นต้องทานอาหารเสริมและให้คุณค่าต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนบริโภค ควรเลือกให้เหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกาย สภาพการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่กินยาเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนสตรีที่มีครรภ์ก็ควรทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือกรดโฟลิกเท่านั้น แต่ขอแนะนำว่าถ้าท่านรับประทานอาหารให้ถูกต้องและครบ 5 หมู่แล้ว อาหารเสริมก็คงไม่จำเป็นสำหรับท่านอีกต่อไป แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือสุขภาพไม่แข็งแรง

Volvo S60 DRIVe 1.6L สเปค ราคา ความคุ้มค่า

Volvo S60 DRIVe 1.6L  สเปค ราคา ความคุ้มค่า


สำหรับรุ่น S จะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/50R17 ขณะที่รุ่น B เป็นล้ออัลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 215/55R16 ส่วนของความบันเทิงในรุ่น S จะติดตั้งหน้าจอขนาด 7นิ้ว พร้อมสะท้อนภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทั้งยังเล่นแผ่น DVD ได้ ขณะที่รุ่น B จะเป็นหน้าจอขนาด 5 นิ้ว เล่นได้เพียง CD และไม่มีกล้องส่องหลังช่วยจอด อย่างไรก็ตามทั้งสองรุ่นจะให้ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก USB AUX ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบเสียงแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4x40 วัตต์ ขับด้วยลำโพง 8 ตัว เป็นมาตรฐาน
     
       ด้านระบบความปลอดภัยอย่างระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรกแบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) และระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert - ACC) จะมาเฉพาะรุ่น S เท่านั้น


     
       โดยระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมเบรกแบบเต็มแรงเบรก จะประกอบด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.
     
       ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนพร้อมกับเห็นไฟกระพริบที่หน้าปัดด้านบนของกระจกหน้ารถ สัญญาณเตือนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยาทันที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะชาร์จเตรียมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที

       ส่วนระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน จะแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ช่วยให้ผู้ขับทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 ก.ม./ช.ม. ขณะเดียวกันช่วงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 ก.ม./ ช.ม. ฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 ก.ม./ช.ม. ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะวลาน้อยที่สุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป


     
       นั่นเป็นสองออปชันความปลอดภัยที่จัดมาให้ต่างกัน แต่ในส่วนของระบบอื่นๆยังคงมีเพียบตามมาตรฐานวอลโว่ อาทิ ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system - BLIS) ระบบป้องกันรถคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) รวมถึงโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง พร้อมระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System - SIPS) และถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System - WHIPS)
     
       …จะเห็นว่าแค่ระบบความปลอดภัย หยิบยกมาพูดทั้งวันก็ไม่จบ ดังนั้นเวลาขับวอลโว่ เอส 60จริงๆ แล้วเปิดระบบทุกอย่างครบ ต้องบอกว่าคุณจะได้ตื่นตัว ตื่นเต้นตลอด เพราะมีทั้งแสง สี เสียง เตือนอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญยังคอยนั่งลุ้นระบบต่างๆว่าจะเตือนหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร...ซึ่งใครขับ เอส60 แล้วยังเกิดอุบัติเหตุได้ คงต้องยอมรับในฝีมือ หัวใจ หรือไม่ก็เป็นคนเมาจนขาดสติ
     
       สำหรับความรู้สึกในการขับขี่ แทบไม่ต่างจากรุ่น CBU ที่วางเครื่องยนต์ 2.0 หรือถ้าเทียบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เดิมทำได้ 8.2วินาที แต่พอมาเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 180 แรงม้า ก็ยังทำได้ 9 วินาที โดยจังหวะออกตัวยังมีอาการดึง มีแรงกระชากแบบหลังติดเบาะเล็กๆ แต่ย่านความเร็วกลาง (50-80 กม./ชม.)อาจจะต้องบี้คันเร่งลงไปหนักหน่อยและรอจังหวะให้เทอร์โบบูสสัก 1-2 วินาที จากนั้นพอรอบทะลุ 3,000 -3,500ไปแล้วก็พุ่งกระฉูด
     
       อย่างไรก็ตามเมื่อขับขี่ทางไกล อาจรู้สึกว่าพลังเครื่องยนต์จะมาแบบไม่ค่อยนุ่มเนียนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์3 หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส ที่วางเครื่องยนต์เบนซินในพิกัด 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตรตามลำดับ นี่ไม่ต้องพูดถึงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ส่งแรงได้แบบต่อเนื่องและสมูทกว่ามาก

       ด้านพวงมาลัยน้ำหนักเบา ระยะสั่งงานดูจะขาดๆเกินๆ หลายครั้งควบคุมไม่ได้ดั่งใจและไม่สัมพันธ์กับความเร็วรถ ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวพอสมควร ขณะที่ช่วงล่างก็พยายามเซ็ทมาให้สปอร์ตกว่าวอลโว่รุ่นเดิมๆ รวมถึงรุ่นพี่ เอส 80 อยู่นิดๆ ซึ่งในภาพรวมสามารถรองรับได้ทั้งอารมณ์นุ่มนวล และให้ความนิ่งหนึบในการขับความเร็วสูง
     
       ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับการเซ็ทน้ำหนักแป้นเบรกและจังหวะการตอบสนองของเบรกอย่างลงตัว ตลอดจนสุดยอดของการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกแล้ว วอลโว่ เอส60 ให้ความมั่นใจในการขับขี่เป็นมาก
     
       ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย วอลโว่เคลมว่าทำได้ 13.9 กม./ลิตร แต่ถ้าใช้แก๊สโซฮอล์ อี85 จะได้ตัวเลข 10.3 กม./ลิตร

ขอบคุณบทความจากผู้จัดการครับ
http://www.manager.co.th/motoring/viewnews.aspx?NewsID=9550000056249

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Land Rover Range Rover รุ่นใหม่ล่าสุด


Land Rover Range Rover  รุ่นใหม่ล่าสุด
           ทิ้งระยะเวลาร่วม 10 ปี ในที่สุด แลนด์ โรเวอร์ ก็มีอะไรใหม่ๆ ให้กับเอสยูวีระดับลักซัวรี่ของตัวเองอย่าง “เรนจ์โรเวอร์” แล้ว เมื่อเผยภาพของรุ่นใหม่แกะกล่องที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานที่ปารีส และจากนั้นจะเริ่มขายในยุโรปทันที ก่อนทยอยเปิดตัวในอีก 160 ประเทศทั่วโลก


        ในรุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 นับตั้งแต่ชื่อของเรนจ์โรเวอร์ เป็นที่รู้จักกันของนักขับทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1970 เพื่อเจาะตลาดเอสยูวีระดับหรู ส่วนในรุ่นที่กำลังนับถอยหลังเตรียมเลิกทำตลาดเปิดตัวเมื่อปี 2002 และถือเป็นเรนจ์โรเวอร์รุ่นแรก ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู ก่อนที่กิจการของแลนด์โรเวอร์จะถูกขายออกไปให้กับฟอร์ดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เรนจ์โรเวอร์ใหม่รุ่นนี้เปิดตัวออกมา
     สำหรับรุ่นใหม่มีรหัสของการพัฒนา คือ L405 และถูกพัฒนาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างทาทาแห่งอินเดีย มาพร้อมกับตัวถังแบบ 5 ประตูที่เน้นน้ำหนักตัวที่เบาขึ้นด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และโครงสร้างของแชสซีส์ด้านท้ายของตัวรถ และจากการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตตัวถังทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงประมาณ 39% หรือคิดเป็น 420 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตัวถังที่แล้ว

        ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถหันมาเน้นการผสมผสานแนวคิดของความเป็นรถสปอร์ตเข้ากับสมรรถนะในการบุกตะลุยบนเส้นทางวิบาก และยังแฝงเอาไว้ด้วยความหรูหราในทุกรายละเอียด ส่วนในแง่ความทนทานนั้น ทางแลนด์โรเวอร์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลเพราะโปรเจ็กต์นี้มีการนำเรนจ์โรเวอร์ใหม่ออกวิ่งทดสอบจริงตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 20 ประเทศ เพื่อให้เผชิญหน้ากับความหลากหลายประเภท

      ทางเลือกของเครื่องยนต์จะมี 3 รุ่น จากขุมพลัง 2 แบบ คือ เบนซิน แบบ วี8 และเทอร์โบดีเซล แบบ วี6 และ วี8 ในรุ่น TDV6 และ SDV8 ซึ่งให้ทั้งสมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำ

ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา


ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา
     ปอร์เช่ เตรียมเปิดตัว 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ active all-wheel drive system และระบบ PTM (Porsche Traction Management) แถมเน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์และน้ำหนักเบา โดยมีให้เลือกถึง 4 เวอร์ชัน
          

      911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดนี้ จะเริ่มทำการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 4 เวอร์ชันด้วยกัน คือ 911 คาร์เรร่า 4, 911 คาร์เรร่า 4S ทั้งในรูปแบบคูเป้ (Coupe) และ คาบริโอเลต (Cabriolet) ซึ่งความเป็นสปอร์ตจะเต็มพิกัดเสมือนเวอร์ชันขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรถให้เน้นเรื่องน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนหรือช่วงล่าง เครื่องยนต์ และระบบส่งผ่านกำลัง ซึ่งมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเท่านั้นที่แตกต่างออกไป โดยทั้ง 4 รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 16% และมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 65 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ด้านมิติตัวรถ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างของ 911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คือ ความกว้างของด้านหลังรถ หากเปรียบเทียบกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซุ้มล้อทางด้านหลังจะขยายกว้างขึ้นข้างละ 22 มม.ยางหลังจะมีความกว้างกว่าเดิม 10 มม.ไฟท้ายแดงที่เชื่อมยาวจากไฟท้ายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่แต่ได้มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบใหม่
     โดยทุกรุ่นจะติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ มาเป็นมาตรฐานให้กับตัวรถ และยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เป็นอุปกรณ์เสริมได้ รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 คูเป้ มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 350 แรงม้า (257 กิโลวัตต์) และสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในเวลา 4.7 วินาที) โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งด้วย
   สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้ว สำหรับรุ่นคูเป้จะอยู่แค่เพียง 8.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 203 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 205 กรัม/กิโลเมตร)
ส่วนทั้งรุ่นคูเป้และคาบริโอเลตของ 911 คาร์เรร่า 4 เอส ต่างใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรแบบ boxer ติดตั้งทางด้านหลัง และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) ทำให้สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 4.1 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลต : 4.3 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 296 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK สำหรับรุ่นคูเป้อยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 215 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 9.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 217 กรัม/กิโลเมตร)
   ใน 911 คาร์เรร่า 4 ใหม่นี้จะมีเมนูใหม่ที่แผงหน้าปัดเพื่อทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ PTM นั้น กำลังกระจายพละกำลังเครื่องยนต์อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ให้เลือกติดตั้งได้ในทุกๆ รุ่น เพื่อควบคุมระยะห่างและความเร็วของรถอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้วนั้น ระบบ ACC จะเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย Porsche Active Safe (PAS) เพื่อช่วยป้องกันการชนทางด้านหน้า ไม่เพียงเท่านี้ ปอร์เช่ยังนำเสนอกระจกซันรูฟใหม่ล่าสุดให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับ 911 คาร์เรร่า คูเป้ อีกด้วย และหากติดตั้งระบบเกียร์มาตรฐานและระบบ Sport Chrono Pack มาด้วยนั้นจะสามารถเพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น หากอยู่ในโหมดสปอร์ต พลัส ระบบจะทำการ double-declutches ระหว่างลดระดับเกียร์อีกด้วย
สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่นี้ออกมาทดแทนเจนเนอเรชันเดิมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดขายถึง 24,000 คัน ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดขาย 997 เจนเนอเรชันที่ 2 ถึง 34% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาของระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ 911 ที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct petrol injection) ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Porsche Doppelkupplung (PDK)) และระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Traction Management (PTM) แบบไฟฟ้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 ปอร์เช่ ส่ง 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร และมีพละกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า (300
ผู้จัดการ

Nissan Sylphy สเปค ราคา


Nissan Sylphy สเปค ราคา
 สิ้นสุดการรอคอยกันสักที สำหรับรถยนต์ซีดานนัมเบอร์ล่าสุดของค่ายนิสสัน อย่าง “Nissan Sylphy” (นิสสัน ซิลฟี) ที่สาวกนิสสันทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมาแสนนาน เมื่อได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ววานนี้ (30 สิงหาคม) พร้อมราคาเปิดตัวที่น่าจะโดนใจใครหลายคนอยู่ไม่น้อย


สำหรับ Nissan Sylphy เป็นรถยนต์ที่ทางค่ายผลิตออกมาตีตลาดเพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Honda Civic, Mazda 3 และ Toyota Altis แทนรุ่น Latio หรือ Tida 4 ประตู ที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ส่วน Nissan Sylphy มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือกทั้ง 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ให้เลือกสรรตามการใช้งาน


ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan Sylphy เรียกได้ว่าสวยงามและเรียบหรู ดูโอ่อ่าและภูมิฐาน ตามสไตล์นิสสัน แต่แฝงไปด้วยออปชั่นที่ทันสมัย และระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าการออกแบบด้านหน้าจะคล้ายกับรุ่น Almera อีโคคาร์ 4 ประตู แต่ Nissan Sylphy จะโดดเด่นสะกดทุกสายตา ด้วยไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่โฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง

สำหรับ Nissan Sylphy จะมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีเทา (Deep Iris Grey), สีขาวมุก (White Pearl), สีดำ (Black Star), สีเงิน (Brilliant Silver), สีแดง (Radiant Red) และสีเกรย์ยิช บรอนซ์ (Greyish Bronze) ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งมาว่าจะวางจำหน่ายทั้งหมด 6 รุ่น โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 746,000 บาท ถึง 931,000 บาท
ที่มา kapook ภาพจาก อินเตอร์เน็ต

Mazda Minagi สเปค ราคา


Mazda Minagi สเปค ราคา
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก MAZDA
เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ได้น้อย สำหรับการเปิดตัวยานยนต์นัมเบอร์ล่าสุดของค่าย “มาสด้า” (Mazda) อย่าง “มินากิ” (Minagi) เมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดทาง บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำ มินากิ ข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศญี่ปุ่น มาให้ชาวไทยได้ยลโฉมกันอย่างใกล้ชิดแล้ว ในงาน “Motor Show 2012″ เมืองทองธานี ในวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2555
mazda minagi
สำหรับรถต้นแบบ มินากิ เปิดตัวอย่างอลังการครั้งแรก ในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทางมาสด้าเผยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เรียกกันว่า “โคโด ดีไซน์” นับได้ว่าเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้าเลยก็ว่าได้ โดยการออกแบบ “โคโด มาสด้า มินากิ” เป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีดั้งเดิม มานำเสนอในรูปแบบที่แสดงออกถึงอารมณ์ และสมรรถนะการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าเดิม ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ มินากิ ยังได้ติดตั้งระบบขับเคลื่อนและโครงสร้างแบบ “SKYACTIV” ซึ่งจะช่วยทำให้น้ำหนักของรถลดลงไปอย่างมาก แต่ยังคงระดับความปลอดภัยเอาไว้เช่นกัน
ส่วนคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำ เพื่อมาเป็น มินากิ นั้น ได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ และมนุษย์ จึงถูกออกแบบด้วยองค์ประกอบที่ผสมผสานกันระหว่าง ความแข็งแรง กับความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว และกระฉับกระเฉง อีกทั้งยังตอบสนองการใช้งานอย่างอิสระ ด้วยรูปทรงสุดหรู กระทัดรัด และนำสมัย ดูลงตัว และพร้อมดึงดูดทุกสายตาเมื่อยามขับขี่โลดแล่นไปบนถนน
แต่ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดของเครื่องยนต์นั้น คงต้องอดใจรอกันอีกสักนิด เพราะว่าทางมาสด้ายังขออุบไว้ก่อน รอไว้ไปลุ้น พร้อมยลโฉม มินากิ คันเป็น ๆ กันที่งาน Motor Show 2012 ส่วนใครที่สนใจจับจองซื้อรถยนต์มาสด้าด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.35%  แถมประกันชั้น 1 ให้ฟรี! ก็ไม่ควรพลาดงานนี้ทุกประการ เพราะทางมาสด้าเขามอบข้อเสนอสุดพิเศษให้เฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น
ขอบคุณบทความจากเเลภาพจาก kapook

Volkswagen Amarok รุ่นใหม่ล่าสุด ราคา


Volkswagen Amarok รุ่นใหม่ล่าสุด ราคา
ช่วงนี้หากจะพูดถึงเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ ในแวดวงยานยนต์แล้ว งานใหญ่ระดับประเทศอย่าง”Motor Expo 2012″ ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ดูจะเป็นที่พูดถึงและเป็นที่รอคอยของเหล่าคนรักรถกันพอสมควร เพราะในงานนี้ จะมีรถรุ่นใหม่ ๆ จากค่ายดังต่าง ๆ นานา ตบเกียร์เดินหน้าพร้อมมานำเสนอกันอย่างเต็มที่

volkswagen amarok

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากใครที่ชื่นชอบขับขี่รถกระบะเป็นพิเศษ ก็คงจะให้ความสนใจกับข่าวนี้พอสมควร เมื่อล่าสุดทาง ”Volkswagen” ค่ายรถดังจากประเทศเยอรมนี ได้เปิดเผยให้ทราบแล้วว่าพวกเขาจะส่งกระบะน้องใหม่อย่าง ”Amarok” มาให้คนไทยเราได้เห็นและได้จับจองเป็นเจ้าของกันแล้วด้วยสนนราคาที่ 1.8 ล้านบาท
สำหรับ Volkswagen Amarok จะเป็นกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร TDI Bi Turbo พร้อมกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ ZF 8 สปีด โดยสามารถปรับการขับขี่ในโหมดสปอร์ตและระบบปกติได้ อีกทั้งในส่วนของความปลอดภัย ก็จะมีระบบเบรคป้องกันล้อล็อค ABS และ ระบบควบคุมการทรงตัว ESP มาด้วย
ด้าน ”ไทยยานยนต์” ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ค่าย Volkswagen ในประเทศไทย ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ทาง Volkswagen พร้อมส่ง Amarok มาลุยตลาดรถกระบะในบ้านเราอย่างเต็มตัว โดยการนำเอาจุดเด่นอย่าง ระบบเกียร์ ZF ซึ่งตามปกติจะติดตั้งเฉพาะรถระดับหรูเท่านั้น มาใส่ในกระบะคันนี้ ซึ่งจะช่วยให้การขับรถกระบะ จะนุ่มนวล เงียบ และแรงกว่ากระบะอื่น ๆ ทั่วไป
ว่ากันว่า Volkswagen Amarok จะจับกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ที่ชื่นชอบกิจกรรมท้าทายสำหรับคนรุ่นใหม่และตอบสนองสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจะกำหนดราคาเริ่มต้นไว้ที่ 1,800,000 บาท ซึ่งหากใครที่สนใจก็อดใจรอกันอีกสักนิด เพราะช่วงปลายปีนี้ก็จะได้เห็น Amarok ตัวจริงเสียงจริงกันแล้ว

ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 1940 สุดยอดคลาสสิค


ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 1940 สุดยอดคลาสสิค
แม้ว่าในช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษที่ 30-40 ค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์สัญชาติอเมริกันอย่าง “ฮาร์เลย์ เดวิดสัน” จะต้องทำหน้าที่หลักโดยการส่งผลผลิตเข้าร่วมสมรภูมิรบระดับนานาชาติ สำหรับใช้เป็นยานพาหนะของเหล่าหทารหาญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
        
 ขณะเดียวกันในด้านสายการผลิตเพื่อวางจำหน่ายให้กับสิงห์นักบิดก็ยังเปิดทำการควบคู่กันไป โดยรูปโฉมจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน และสำหรับคันที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำมาให้ชมคันนี้ก็คือ ผลผลิตของฮาร์เลย์ เดวิดสัน ปี 1940 ในโฉมของรูปแบบพลเรือนนั่นเอง
“กว่าจะรวบรวมอะไหล่เพื่อบูรณะให้เป็นคันสมบูรณ์ และวิ่งใช้งานได้ปกติแบบนี้ ผมต้องใช้ความอดทนรอคอยนานกว่า 3ปี” เจ้าของรถผู้มีพื้นเพมาจากจังหวัดนครสวรรค์ หรือมีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักในแวดวงรถโบราณว่า “โจ-นครสวรรค์” เริ่มต้นเล่าถึงความเป็นมาของสองล้อคันโปรดด้วยความภาคภูมิใจ
 “ตัวรถผมเน้นเดิมๆ ทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์สูบวีทวิน ขนาด 1,200 ซีซี. ไซด์วาล์ว เสื้อเหล็ก ระบายความร้อนด้วยอากาศ สตาร์ทเท้า เกียร์มือ 4 สปีด โดยเฉพาะระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ทองเหลืองทั้งดุ้น ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชันแรกๆ ของฮาร์เลย์ เดวิดสันก็ว่าได้”
ของดีหาดูยาก คาร์บูเรเตอร์ผลิตจากทองเหลืองทั้งลูก
โจ นครสวรรค์ เล่าต่อว่า ในด้านสมรรถนะการใช้งานไม่มีงอแง ซิ่งออกทริปพร้อมคลับวินเทจไบค์ ไทยแลนด์ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ได้อย่างชิลๆ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 65 ไมล์/ชม. หรือประมาณ 100 กม./ชม.              “การขับขี่ควบคุมอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย เพราะใช้การเหยียบคลัทช์เหมือนรถยนต์คือเท้าซ้าย เปลี่ยนเกียร์ด้วยมือข้างๆ ถังน้ำมัน คันเร่งที่แฮนด์ด้านซ้ายใช้เร่งองศาไฟจุดระเบิด ส่วนด้านขวาใช้เร่งการจ่ายเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ สองส่วนนี้ต้องสมดุลกัน ส่วนผสมมันถึงจะกลมกล่อมวิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่เบรกหน้าอยู่แฮนด์ซ้าย เบรกหลังอยู่ที่เท้าขวาเหมือนมอเตอร์ไซค์ทั่วไป”
ครั้นถามถึงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน เจ้าของรถยิ้มก่อนตอบว่า “ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะเป็นของคู่กันกับรถโบราณอยู่แล้ว ถ้าจะให้ไปเปรียบเทียบกับรถใหม่ยิ่งพวกหัวฉีดมันเป็นรถคนละกลุ่ม พวกนั้นสำหรับวิ่งใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่อย่างคันนี้เอาไว้ขี่ทางไกลท่องเที่ยว หรือเอาไปโชว์ตัวตามงานรวมรถโบราณต่างๆ”              สำหรับงบประมาณที่ทุ่มลงไป ให้กับฮาร์เลย์ เดวิดสัน ปี 1940โฉมพลเรือนคันนี้ เจ้าของรถเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า ต้นทุนตัวเลขเกินกว่า 7 หลักไปแล้ว ของแต่งบางส่วนต้องไปแข่งประมูลตามอีเบย์ หากเป็นของแท้ตรงรุ่นราคาก็ยิ่งแพงและหายาก ดังนั้น อย่าแปลกใจว่าอุปกรณ์บางส่วนที่เห็นจะเป็นของที่ผลิตในยุคนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าหาง่ายกว่าจึงต้องยอมใช้ทดแทนกันไป
 “ของแต่งที่ใส่เพิ่มมีกันล้มรอบคัน ดุมล้อโครเมียมหน้า-หลัง ขอบคิ้วข้างถังน้ำมัน เบาะไอ้เข้พร้อมสปริงรับน้ำหนักสำหรับคนซ้อนท้าย (เบาะเดิมนั่งได้คนเดียว) กระเป๋าข้าง 2 ใบ และสปอร์ตไลท์อีก 2 ดวง”
เบรกหน้าอยู่ที่แฮนด์ฝั่งซ้าย พร้อมปุ่มแตรและสวิตซ์สัญญาณไฟสูง
สองล้อโบราณหนึ่งในมรดกยานยนต์ที่มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ โจ นครสวรรค์ ยืนยันว่ามีไม่ถึง 10 คันในเมืองไทย เพราะคนเล่นเฉพาะกลุ่ม เห็นรถก็รู้ว่าเจ้าของคือใคร และถ้านับเฉพาะในกรุงเทพ รุ่นโฉมพลเรือนแบบนี้มีอยู่แค่ 3 คันเท่านั้น
ที่มา ผู้จัดการ

จักยานยี่ห้อไหนดีที่สุด


จักยานยี่ห้อไหนดีที่สุด
1.ANCHOR
http://www.anchor-bikes.com
แบรนด์จักรยานแข่งของบริดจ์สโตนไซเคิล ผู้ผลิตจักรยานใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งในปี 90 ได้ผลิตเฟรม Neo-Cot ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้รูปร่างที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมาเป็นครั้งแรก มีทีมแข่งเป็นของตัวเองจึงสามารถวิเคราะห์การใช้งานจริงได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ประสบความสำเร็จในการผลิตอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมต่างๆ จักรยานที่ผลิตออกมาในปี 08 มีทั้ง Track Racer ที่ทีมชาติญี่ปุ่นใช้อยู่ จักรยานถนน Cross Country MTB และสปอร์ตโมเดลที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย รวมทั้งอะไหล่อื่นๆอีกมากมาย
2.BIANCHI
http://www.bianchi.com
ชื่อของแบรนด์เป็นภาษาอิตาลีแปลว่าท้องฟ้า มีกำเนิดมาจากร้านจักรยานซึ่ง Edoardo Bianchi เปิดขึ้นในมิลานเมื่อปี 1885 จนมามีทีมแข่งจักรยานถนนเป็นของตัวเองในปี 1940 Fausto Coppi ฮีโร่นักปั่นชาวอิตาลีเป็นผู้นำรถแบรนด์นี้ลงแข่งได้รับชัยชนะในการแข่งสำคัญๆมากมายจนทำให้แบรนด์โด่งดัง ปัจจุบัน BIANCHI เป็นผู้ผลิตจักรยานที่มีสินค้าหลากหลาย รถซิตี้ไบค์ของแบรนด์นี้มีดีไซน์ที่ทันสมัยและได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น รวมถึงชุดจักรยานและ Accessories ต่างๆที่ทำออกมาในสีฟ้าซึ่งเป็นสีประจำแบรนด์
3.BLUE
http://www.rideblue.com แบรนด์นี้มีฐานการผลิตอยู่ที่แอตแลนตาในอเมริกา เป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถแข่งตรงตามชื่อเต็มๆของบริษัทที่ชื่อ BLUE COMPETITION CYCLES ใช้อยู่ในการแข่งระดับโลกมากมาย ผลิตรถจักรยานแข่งโดยใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปคาร์บอนแบบเดียวกับรถ F1 สินค้าหลักคือจักรยานถนน มีทั้งแบบ Time Trial และ Cyclo-cross
4.BMC
http://www.bmc-racing.comจักรยานแบรนด์สวิส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1994 เป็นผู้พัฒนา Damping System สำหรับ MTB ที่แปลกใหม่และมีประสิทธิภาพ จนมีชื่อเสียงโด่งดังในสวิสในฐานะผู้นำการผลิตจักรยานแบบไฮบริด เริ่มก้าวไปมีชื่อเสียงในต่างประเทศเมื่อปี 01 หลังจากเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับ PHONAK ทีมจักรยานถนน ในการแข่งตูร์ เดอ ฟรองซ์ปี 06 และ 07 จักรยานแบรนด์นี้ได้รับความสนใจอย่างมากในเรื่องโครงสร้างส่วนบนของ Seat Tube ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โมเดลปี 08 ซึ่งมีทั้งจักรยานถนน MTB และ Cyclo-cross ล้วนแต่ใช้ Tube คาร์บอนนาโนแบบใหม่ล่าสุดซึ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
5.CANNONDALE
http://www.cannondale.com
แบรนด์จากอเมริกาที่มีกำเนิดมาจากสถานีรถไฟแห่งหนึ่งในรัฐคอนเนคติกัตเมื่อปี 1971 ความโดดเด่นอยู่ที่ Tube อลูมิเนียมขนาดใหญ่ทำให้ก้าวขึ้นสู่ความนิยมอย่างรวดเร็ว และเมื่อเสริม Function แบบจักรยานแข่งเข้าไปอีก ก็ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่นักแข่งดังๆทั้ง MTB และจักรยานถนน ปัจจุบันผลิตจักรยานออกมามากมายหลายรูปแบบ ทั้ง MTB จักรยานถนน โมเดลเฉพาะสุภาพสตรี รถCity Use นอกจากนี้ชุดจักรยานซึ่งมีทั้งแบบชุดแข่งและชุดใส่ลำลองก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
6.CERVELO
http://www.cervelo.com/
เปิดตัวในวงการแข่งเมื่อปี 1995 ด้วยรถ Time Trial ชื่อของแบรนด์มาจากคำว่า Cervello เป็นภาษาอิตาลีแปลว่า “สมอง” รวมกับคำว่า Velo ซึ่งแปลว่า “จักรยาน” ในภาษาฝรั่งเศส จุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้มาจากการผลิตรถตามออเดอร์ให้นักจักรยานTime Trial ชั้นนำ เมื่อมาผลิตจักรยานออกขาย รถโมเดล Time Trial ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักไตรกีฬา หลังจากนั้นจึงมีการผลิตจักรยานสำหรับการแข่งจักรยานถนนตามปกติออกมา ลักษณะเด่นของแบรนด์คือฟอร์มของจักรยานที่ดูเพรียวลมราวลูกธนู มีบทบาทโดดเด่นอยู่ในตรู เดอ ฟรองซ์
7.COLNAGO
http://www.colnago.com
ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Cambiago ชานเมืองมิลานโดย Ernesto Colnago ชาวอิตาลีเมื่อปี 1953 Ernesto เป็นช่างเทคนิคที่เคยทำงานให้ Eddy Merckx และได้ใช้ความกว้างขวางในวงการเป็นฐานในก้าวเข้าสู่วงการแข่งจักรยานถนน ผลงานของเขาเป็นที่ชื่นชอบของนักปั่นชั้นนำมากมาย อาทิ Giuseppe Saronni นักปั่นชาวอิตาลี และนักปั่นในทีม Mapei เฟรมของค่ายนี้มักจะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าค่ายอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Straight Fork หรือเฟรมคาร์บอน โมเดลหลักๆในปี 08 เป็นคาร์บอนโมเดลที่จัดเป็นโมเดลรถแข่งชั้นยอดของโลก
8.CORRATEC
http://www.corratec.com
ผู้ผลิตจักรยานจากเยอรมัน ถือกำเนิดขึ้นที่เชิงเทือกเขาแอลป์สทางตอนใต้ของเยอรมันในปี 1982 จักรยานของค่ายนี้ผลิตขึ้นเพื่อให้ใช้งานได้ดีที่สุดในสภาพภูมิประเทศแบบหุบเขา จึงได้มีการค้นคว้าเพื่อให้จักรยานมีน้ำหนักเบาและอัตราทดดีที่สุด จนเกิดเป็นเทคโนโลยีเฉพาะตัว ต่อมาได้เริ่มผลิตรถจักรยานแข่งอย่างจริงจัง โดยได้รับความร่วมมือจาก Sannino ผู้ผลิตเฟรมชื่อดังของอิตาลี โมเดลปี 08 ล้วนแล้วแต่เป็นโมเดลที่ผลิตขึ้นจากวัสดุชั้นสุดยอด
9.DE ROSA
http://www.derosanews.com
แบรนด์จักรยานถนนซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Ugo De Rosa ปรมาจารย์แห่งวงการจักรยานอิตาลีที่เมือง Cusano ชานเมืองมิลาน มีหัวใจสีแดงเป็นสัญลักษณ์ เฟรมที่ Ugo ผลิตได้รับความนิยมในหมู่นักแข่งชั้นนำ เช่น Eddy Merckx เป็นอย่างมาก การผลิตจักรยานของค่ายนี้ทำเองในโรงงานของครอบครัวที่มีลูกๆและตัว Ugo เป็นกำลังสำคัญ จึงได้ชื่อว่าเป็นเสมือนงานฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ
10. EDDY MERCKX
http://www.eddymerckx.be
EDDY MERCKX ยอดนักปั่นชาวเบลเยียมแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 5 สมัยและแชมป์ในการแข่งสำคัญๆอื่นๆอีกมากมาย เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นหลังออกจากวงการ สมัยเป็นนักแข่ง EDDY MERCKX เข้มงวดอย่างยิ่งกับจักรยานที่เขาขี่ เมื่อมาเป็นผู้ผลิตเองเขาจึงตรวจสอบการผลิตอย่างกวดขันนับตั้งแต่ขั้นตอนการเชื่อมเฟรมไปจนถึงการทำสี ว่ากันว่าบางครั้ง EDDY MERCKX ถึงกับลงมาช่วยบรรจุหีบห่อและส่งจักรยานด้วยตัวเองเลยทีเดียว

แบรนด์รถยนต์มูลค่าสูงสุด


แบรนด์รถยนต์มูลค่าสูงสุด

ปาดหน้าแชมป์เก่าขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยเลยทีเดียว สำหรับค่ายรถดังแดนยุโรปอย่าง “BMW”ที่มาคราวนี้ทำการเร่งสปีดแซงหน้า “Toyota” ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในด้านของของการเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุด โดย BMW มีมูลค่าสูงถึงกว่า 24,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
ผลการประกาศนี้ได้รับการยืนยันจากการจัดอับดับ 100 แบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลกของ Millward Brown บริษัทที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ทั่วโลก ซึ่งการจัดอันดับนี้จะเกี่ยวกับมูลค่าของแบรนด์นั้น ๆ โดยในแวดวงยานยนต์ BMW ได้ก้าวขึ้นมาครองอันดับที่ 1 ในปีนี้ แทนที่ของ Toyota ที่เคยครองอันดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว ด้วยมูลค่าที่มีประเมินการณ์อยู่ที่ราว ๆ 24,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือร่วม ๆ 740,000 ล้านบาท
สิ่งที่ทำให้ BMW ขึ้นมายิ่งใหญ่แบบนี้ได้ ทางนักวิเคราะห์ของ Millward Brown อธิบายไว้ว่า BMW สามารถทำตามเป้าหมายหลัก ๆ ของพวกเขาได้ อีกทั้งในแง่ของรถรุ่นใหม่ ๆ นั้น ก็ถือเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดี ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีหลากหลายได้ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีในส่วนของระบบการดำเนินที่มีความต่อเนื่องและแข็งแกร่งมาก ตามด้วยการวางแผนในระยะยาวที่ดูเป็นระบบ มีแบบแผนนั่นเอง
ส่วน Toyota ที่ต้องหล่นมาเป็นที่ 2 นี้ก็ไม่ได้หมายความว่ายนตรกรรมของพวกเขาไม่ดีแต่อย่างใด หากแต่เป็นผลพวงมาจากเหตุภัยธรรมชาติ ทั้ง แผ่นดินไหว สึนามิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด รวมถึงน้ำท่วมในประเทศไทยเราเมื่อปลายปีที่แล้วด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อ Toyota โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเสีย กำลังการผลิต และเรื่องของรายได้ที่โดนกระทบเข้าอย่างจัง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ยังส่งผลไปยังแบรนด์รถดังค่ายอื่น ๆ ของญี่ปุ่นอย่าง Honda และ Nissan ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนั้นแล้วยังมีค่ายรถอื่น ๆ ติดอันดับตามอีกเพียบ โดยเราขอเรียง 10 อันดับแรกของค่ายรถยนต์ กับมูลค่าของพวกเขาดังนี้
1. BMW มีมูลค่า 24,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 740,000 ล้านบาท)
2. Toyota มีมูลค่า 21,799 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 654,000 ล้านบาท)
3. Mercides-Benz มีมูลค่า 16,111 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 483,000 ล้านบาท)
4. Honda มีมูลค่า 12,647 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 379,000 ล้านบาท)
5. Nissan มีมูลค่า 9,853 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 295,000 ล้านบาท)
6. Volkswagen มีมูลค่า 8,519 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 255,000 ล้านบาท)
7. Ford มีมูลค่า 7,025 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 211,000 ล้านบาท)
8. Audi มีมูลค่า 4,703 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 141,000 ล้านบาท)
9. Hyundai มีมูลค่า 3,598 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 108,000 ล้านบาท)
10. Lexus มีมูลค่า 3,392 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 101,000 ล้านบาท)
kapook.com